พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จอนุโมทนา พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จริงแค่ไหน ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ไจโกะ, 7 พฤศจิกายน 2013.

  1. tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,649
    ค่าพลัง:
    +20,323
    ===================

    สุดท้าย
    นิมิต ที่เกิดปรากฏจริง แต่สิ่งที่ปรากฏจะเป็นความจริง โดยทั้งหมดได้นั้น เกิดได้เฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น ครับสาธุ
     
  2. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา

    ไม่ผิด แต่ไม่ใช่เห็นพระพุทธเจ้าเป็นตัวตนจริงๆ
    แต่เห็นเป็นนิมิตที่จิตสร้างขึ้น ซึ่งไม่ใช่ตัวจริง (ดังที่หลวงพ่อพุธได้อธิบายกับพระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)

    อุปมาเหมือนรูปปั้น กับ ภาพถ่าย ไม่ใช่ตัวจริง เป็นต้นน
     
  3. Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819


    สงสัยอ่านไม่เข้าใจ สงสัยต้องอธิบายะจะได้ไม่เข้าใจผิดๆ

    เพราะ รวมคำสอน ของพระพุทธเจ้า ที่สอนไว้ที่สมัยที่ยังทรงพระชนม์ชีพ อยู่ไงครับ
     
  4. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ก็เขียนให้อ่านเข้าใจแต่แรกสิครับ คงมีหลายคนที่อ่านแล้วเข้าใจว่าคุณกำลังหมายถึง "พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ในตอนทำสังคายนาครั้งแรก" อย่างที่ผมเข้าใจ เช่น คุณอุรุเวลา เป็นต้น

    แต่อย่างไรก็ตาม ก็เพราะว่าเป็นคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนตอนยังพระชนม์ชีพ อยู่ ไงครับ ที่ว่า

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=7&A=7440&Z=7459&pagebreak=0

    ดังนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว จึงไม่สามารถไปถามพระพุทธเจ้าได้ว่าสิกขาบทเล็กน้อยหมายถึงอะไรบ้าง พระเถระทั้งหลายจึงปรับอาบัติทุกกฎพระอานนท์ โทษฐานที่ไม่ถามพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพาน และลงมติกันว่าจะไม่ถอนบัญญัติที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แม้แต่ข้อเดียว

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=7&A=7460&Z=7491&pagebreak=0

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=07&A=7492&Z=7535

    ดังนั้นจึงเป็นข้อคิดว่า

    เมื่อพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็ไม่มีใครที่สามารถไปหาท่านเพื่อสนทนาธรรม,ถามปัญหา หรือถวายข้าวทิพย์กับท่านได้อีก รวมถึงจะไม่มีพระพุทธเจ้าที่เป็นตัวตนจริงๆแบบครั้งยังทรงพระชนม์แวะมาเยี่ยมเยียนตอบปัญหาที่สงสัยของใครก็ตาม แม้แต่พระอรหันต์ที่ทรงอภิญญา,ปฏิสัมภิทา 500 องค์ที่ทำสังคายนาครั้งแรกและทันเห็นพระพุทธเจ้าตอนยังทรงพระชนม์ชีพก็ตาม
     
  5. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ถูกต้องครับ นิมิตมีทั้งจริงและไม่จริง

    แต่ถ้ามีนิมิตสิ่งใดที่ขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้า สามารถสรุปได้ทันทีว่านิมิตนั้นไม่จริง

    เราจึงควรศึกษาพระไตรปิฎกเพื่อใช้ในการตรวจสอบว่าอะไรที่เป็นไปได้ อะไรที่เป็นไปไม่ได้

    ส่วนนิมิตที่เห็นเป็นพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ขันธ์ 5 ของพระพุทธเจ้าแน่นอน

    หรืออย่างนิมิตที่ว่า พระอนาคามี สามารถกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก หรือกลับมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ นี่ก็ไม่จริงเช่นกัน
     
  6. DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    เห็นนักปฏิบัติและผู้ใฝ่ธรรมทั้งหลายแตกฉานและก้าวหน้าเช่นนี้ก็อนุโมทนา...สาธุธรรมครับ​
     
  7. soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    ตัวเองไม่เห็นจริง ไม่ได้หมายความว่าครูบาอาจารย์หรือผู้อื่นไม่ได้เห็นจริงเช่นเดียวกับตน
    อย่าว่าแต่ครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่มั่นท่านเห็นจริงเลย
    คนธรรมดาที่ยังมีกิเลสอย่างดิฉันท่านยังมาปรากฏให้เห็น ไม่ได้เห็นด้วยตาเนื้อ เห็นด้วยจิต
    ที่มั่นใจว่าไม่ใช่อุปาทานเพราะคนที่ไปด้วยกันเห็นลักษณะเดียวกันโดยที่เราต่างไม่ได้เปิดเผยให้อีกฝ่ายรู้มาก่อน แต่พอต่างคนต่างเล่าจึงรู้ว่าเห็นสิ่งเดียวกัน ลักษณะเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน
    การที่ท่านเข้านิพพานไม่ได้แปลว่าท่านสูญ ร่างกายและกิเลสท่านต่างหากที่สูญ
    อย่าเอาคำสอนครูบาอาจารย์มาตีความผิดๆ
    เปรียบเหมือนคนตาบอด เข้าใจไปเองว่าพระอาทิตย์สีเขียว คุณก็เชื่อมั่นเอาเองว่าพระอาทิตย์ต้องสีเขียวอย่างเดียวเท่านั้น ลองศึกษาจริยวัตรหลวงปู่มั่นท่านดู ท่านมีความเพียรสูงมาก จิตท่านละเอียดบริสุทธิ์ จึงเห็นสิ่งที่เป็นทิพย์ ดิฉันไม่ได้คิดว่าที่ดิฉันเห็นนั้นเพราะจิตดิฉันสะอาดบริสุทธิ์เช่นท่าน แต่คิดว่าอาจจะเกิดจากแรงอธิษฐานที่สะสมมาหลายชาติ เมื่อถึงจุดหนึ่ง ท่านจึงเสด็จมาโปรด
     
  8. สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +4,062
    ..เป็นเรื่อง ที่ไกลเกินภูมินักปฏิบัติ ยังไม่จำเป็นต้องไปรู้ก่อน นิมิตรจริง-นิมิตรลวง ล้วนถูกนำใช้ เป็นเครื่องมือ หลอกลวงผู้คนเสมอในทางโลก..ใช้กายเป็นพระไตรเลยฯล
    :cool:..การเมือง ปัจจุบันมันมุ่งทำลายศาสนา..แล้วทำลายสถาบันอื่นๆตามมา เหตุเพราะ สถาบันพุทธศาสนานี้จะสร้างพระ..สุปฏิปันโน ขึ้นมาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ศูนย์รวมประชาชนคนทั้งชาติ นั่นคือการรวบรวมผู้คนที่มีศิลธรรม อุดมการณ์ ให้เป็นปึกแผ่นได้
    นักการเมืองเลวๆๆๆที่ไม่มีศิลธรรม-ไม่เชื่อศิลธรรมเน้นวัตถุนิยมไม่มีธรรมยึดเกาะ จึงต้องมุ่งโจมตีศาสนาเพื่อทำลายศรัทธาประชาชนไปทั่ว..ไปด้วยคู่กัน การตั้งกะทู้ของ จขกท.จึงมองได้หลายแง่นัก ในเวลานี้ (ความเห็นส่วนตัวครับ)
     
  9. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ความจริงหลวงปู่มั่นไม่ได้สอนใคร
    เพียงแต่หลวงตามหาบัว ท่านเขียนประวัติของหลวงปู่มั่น นำเรื่องที่หลวงปู่มั่นบอกสอน
    กับพระลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นมาเขียนรวมในประวัติของหลวงปู่มั่น
    ผมเน้นว่าเป็นการสอนธรรมของหลวงปู่มั่นที่สอนพระ ไม่ได้สอนปุถุชนทั่วไป
    จิตพระอรหันต์ยากที่ปุถุชนทั่ว ๆ ไปจะเข้าถึงหรือประมาณว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้
    ประเด็นของ MyCatSoCute คือไม่อยากลบหลู่ใคร MyCatSoCute นับถือพระอาจารย์มั่น
    แต่ MyCatSoCute บอกว่าหลวงปู่มั่นสอนผิด เป็นสาวกสอนผิดจากพระพุทธพจน์
    หลวงปู่มั่นพระชื่อดังสอนผิด มีสำนักเดียวที่สอนถูกคือสำนักนาป่าพงเท่านั้น
    อย่าฟังคำคนอื่นแม้สาวก ให้ฟังคำสำนักนาป่าพงเท่านั้นที่เป็นคำของพระศาสดา
     
  10. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมอยากให้ผู้อ่านคิดวิเคาระห์ให้ดี ๆ ก่อนที่จะปรงใจเชื่อสิ่งใด
    ชาวพุทธอย่าทำเป็นเหมือนไฟไล่ฟาง หลงเชื่อใครง่าย ๆ ไปตามกระแส
    ประเด็นของผม ผมไม่ได้อยากลบหลู่ใคร โดยส่วนตัวผมนับถือพระอาจารย์คึกฤทธิ์
    ผมฟังท่านมาตั้งแต่ก่อนปี 2550 ส่วนใหญ่ผมเห็นด้วยกับท่าน แต่บางเรื่องผมเห็นว่าไม่ใช่
    เช่น การนำธรรมะมาขาย ท่านไม่รับเงินและทอง แต่ท่านทำการซื้อขายธรรมะ
    ท่านอาจจะบอกว่าลูกศิษย์ทำ แต่ท่านในฐานะอาจารย์สามารถพิจารณาตักเตือนได้
    ธรรมควรแก่การเคารพบูชา พระพุทธเจ้าทรงเคารพธรรม
    ขายธรรมะในรูปแบบต่าง ๆ แบบนี้เป็นการเคารพธรรมหรือครับ?

    ขายเสื้อพุทธวจน
    http://f.ptcdn.info/553/005/000/1369579903-IMG4957JPG-o.jpg

    ขายกระถางพุทธวจน
    http://f.ptcdn.info/553/005/000/1369579948-IMG4958JPG-o.jpg

    ขายเค้กพุทธวจน
    http://f.ptcdn.info/553/005/000/1369580070-IMG4963JPG-o.jpg

    ขายกระเป๋าพุทธวจน และขายหนังสือพุทธวจน
    http://f.ptcdn.info/553/005/000/1369580178-IMG4964JPG-o.jpg

    ขายที่ใส่ปากกาพุทธวจน
    http://f.ptcdn.info/553/005/000/1369580480-IMG4973JPG-o.jpg
     
  11. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ที่นี่มันเป็นวัด มันทำการค้าขายอะไรไม่ได้ และมันไม่ใช่หน้าที่ของวัด ไม่ใช่หน้าที่ของสวนโมกข์ ที่จะต้องขายหนังสือ มันไม่จำเป็น ถ้าขายอะไรได้ ขายหนังสือได้ ไม่เท่าไรก็ขายก๋วยเตี๋ยวได้ วัดจะขายก๋วยเตี๋ยวเสียเอง ขายกาแฟเสียเอง มันจะเป็นอย่างไร ที่อื่นใครจะทำก็ตามใจ ที่นี่ไม่ทำหรอก จะไม่ถึงกับขายก๋วยเตี๋ยว ขายกาแฟ… ลูกศิษย์ทั้งหลาย ขอให้คำว่า ลูกศิษย์ทั้งหลาย คือผู้ที่ชอบ และ รักใคร่ เลื่อมใส อย่าได้คิดหากิน กับอนุสาวรีย์ของอาจารย์เลย ลูกศิษย์ทั้งหลาย อย่าได้ใช้อนุสาวรีย์ของอาจารย์เป็นเครื่อง หากินเลย อาตมาจะมีสวนโมกข์ก็ดี มีหนังสือก็ดี มีรูปปั้นก็ดี มีอะไรก็ดี ท่านทั้งหลายอย่าได้ใช้ สิ่งเหล่านั้น เป็นเครื่องมือหากินเลย มันจะตกหนักไปกว่าเดิม…

    พุทธทาสภิกขุ
     
  12. tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,649
    ค่าพลัง:
    +20,323
    ====================

    ขอบคุณครับที่แนะนำตักเตือน เราต้องพิจารณาว่าธรรมทั้งหลายต้องไม่ผิดต่อหลักธรรมหรือขัดแย้งต่อหลักธรรมของพระพุทธเจ้า

    อะไรคือการกล่าวที่ผิดหรือขัดแย้งต่อหลักธรรมของพระองค์ ตรงนี้พวกเราต้องตีความให้แตก ใช้ปัญญาประกอบให้มาก แม้กระนั้นหากเราได้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความจริงอย่างพระสารีบุตร แน่นอน เราจะทราบได้ด้วยปัญญาของตนเองมากมายนานาประการ อันหมายถึงสิ่งเดียวกัน

    เรื่องจิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เป็นสิ่งที่สูงยิ่งนักที่คนปุถุชนอย่างเราๆไม่อาจเข้าถึง แต่หากตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนย่อมเข้าถึงความจริง ที่อยู่เหนือความไม่จริงทั้งปวง

    ใครที่สอนว่าจิตไม่มีอยู่จริงผู้นั้นกำลังสอนในสิ่งที่ผิด[กระผมมิได้ยึดมั่นในคำกล่าวนี้หากแต่ต้องการแสดงสภาพความเป็นจริงของความเป็นจิตทั้งหลาย]
    จิตเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ กล่าวไว้มากมายว่ามีอยู่จริง พร้อมด้วยเจตสิก และวิญญาณที่ประกอบอยู่กับจิต

    อย่างที่กระผมกล่าวไว้หลายต่อหลายครั้ง พิจารณาง่ายๆ จิตปุถุชนผู้มีกิเลส ย่อมเวียนว่าย เป็นผี เป็นเปตร อสุรกาย เทวดา เทพพรหมหรืออื่นๆ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่ามีอยู่จริง

    แล้วจิตพระพุทธเจ้าและจิตอรหันต์เล่า ก็มีอยู่จริงเช่นกัน แม้จะดับอวิชาตัณหาอุปทานได้หมดสิ้น จึงไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด แล้วแต่จิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย มีสภาพเป็นอย่างไร ตรงนี้ขออธิบายว่า
    จิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ก็ยังมีสภาพเป็นจิต แต่เป็นจิตที่หลุดพ้นแล้ว หลุดพ้นแม้ความยึดมั่นถือว่าว่านี่คือจิตตน หรือจิตใคร เป็นสภาพจิตที่เป็นอนัตตา หรือกล่าวว่า จิตนั้น เป็นความมี ในความไม่มี

    จิตพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ยังคงมีสภาพหนึ่งคือเป็นจิตรู้ แต่เป็นจิตที่รู้ ตื่นเบิกบานและบริสุทธิ์ เพราะเป็นจิตที่มีปัญญาญาณดับกิเลสได้หมดสิ้น นั่นเอง

    อนึ่งผู้ที่สามารถฝึกจิตของตนให้ มีสภาพเดียวกับกับจิตอรหันต์ อันมีสภาพเป็นจิตรู้ ตื่นเบิกบานสะอาดบริสุท่ธิ์ได้ ย่อมสามารถรู้เห็นสภาพจิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้เช่นกัน แต่จิตที่ฝึกฝนมาดีแล้วเหล่านี้ ย่อมมีปัญญามากและรู้ดีว่าควรกล่าวแนะนำแก่ผู้อื่นอย่างไรหรือไม่ควรกล่าวแนะนำแก่ผู้อื่นอย่างไร ตามภูมิบารมีของผู้อื่นอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นนั่นเองครับ สาธุ
     
  13. tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,649
    ค่าพลัง:
    +20,323
    ================


    ส่วนนี้อาจจะไม่จริงทั้งหมด ส่วนนี้อาจมีบางส่วนที่ไม่จริงคือ อาจมีพระอริยะส่วนหนึ่งที่กระทำได้ แต่พระอริยะเหล่านั้นก็มีปัญญามากและรู้ดีว่าควรและไม่ควรกล่าว แต่ผู้อื่นตามกาละเทศะ อย่างไรครับ เพราะส่วนหนึ่งก็เป็น ปัตจัตตังเฉพาะพระอริยะแต่ละบุคคล และการกล่าวไปแล้ว จะมีประโยชน์อย่างไร มีโทษอย่างไร พระอริยะเหล่านั้นย่อมทราบในวาระจิตท่านดี
    อนึ่งปุถุชนทั้งหลายยเปรียบเสมือนแก้วแจกันปากแคบเพราะปัญญายังด้อยอยู่การจะเทน้ำคือพระสัทธรรมดุจปัญญาความรู้ให้จึงมีประโยชน์ที่จะได้รับเพียงน้อยนิด นั่นเองครับ สาธุ

    ทำอะไรต้องละเอียดรอบคอบ การจะกล่าวธรรม จึงต้องใช้ปัญญาประกอบให้รอบคอบจึงไม่ใช่ของง่ายครับ สาธุ
     
  14. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    การที่บอกว่าไม่มีใครที่สามารถจะไปหาพระพุทธเจ้าได้อีกหรือไม่มีพระพุทธเจ้าตัวตนจริง ๆ ในแดนนิพพาน หรือบอกว่าสามารถพบพระพุทธเจ้าหรือไม่สามารถพบพระพุทธเจ้าในแดนนิพพานได้ เรื่องเหล่านี้มีพระสูตรหนึ่งบัญญัติไว้ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว อย่าไปตามรู้ว่าพระองค์เกิดอีกหรือไม่เกิดอีก เพราะนั่นเป็นพุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย การไปตามรู้เรื่องเหล่านี้ไม่เกิดประโยชน์ ให้ศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้า ให้อยู่กับปัจจุบันอย่าไปตามรู้จิตผู้อื่น ให้อยู่กับกายและจิตของตนๆ
     
  15. wechza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +246
    ภาวนา รักษาศิล เพื่อให้เกิดปัญญาอบรมจิต
    ถ้านิพพานแล้วจิตไม่มีจะภาวนาอบรมณ์มันทำไมอบรมณ์ไปเพื่ออะไร
    นิพพานเป็นของไกลตัวสงสัยไปก็เท่านั้น
    บางคนอ่านตำรามากก็เข้าใจแต่ตำราอะไรที่ผิดแปลกไปจากตำราก็ว่าผิดเพราะไม่ถูกกับที่ตนได้อ่านมา พุทพจน์คือการบันทึกในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงอบรมณ์สั่งสอน แต่บางสิ่งที่นอกเหนือตำราก็มีที่ไม่ได้บันทึก เพราะมันอัศจรรย์กว่าที่จะบรรยายเป็นตัวหนังสือ
    ตำราทำอาหารมีเล่มเดียวแต่คนทำมีเป็นล้านคนรสชาติย่อมไม่เหมือนกันและบางคนก็เติมแต่งเพื่อให้ถูกใจกับรสลิ้นของตนอีกด้วย
     
  16. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อัคคิวัจฉโคตตสูตร

    เปรียบเทียบพระอรหันต์ดับขันธ์เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานไปแล้ว
    อุปมาเหมือนไฟที่หมดเชื้อเพลิงและดับไปแล้ว ไม่ควรตอบว่าไฟไปทางทิศเหนือ ทิศใต้หรือทิศใดๆ เพราะไฟที่ดับก็ดับไปแล้ว ไม่ใช่ไฟอีกต่อไป

    ดังนั้นในเมื่อพวกเราในที่นี้ยังไม่ใช่พระอรหันต์จึงสมควรที่จะฟัง
    ว่าจอมอรหันต์อย่างพระพุทธเจ้าตรัส ว่าอย่างไรบ้าง

    พระพุทธเจ้าผู้รู้แจ้งนิพพาน ตรัสไว้ใน พรหมชาลสูตร ว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ ขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.

    เช่นเดียวกัน ไฟที่ดับไปเพราะสิ้นเชื้อแล้ว ย่อมไม่มีใครที่สามารถเห็นไฟที่ดับไปนั้น กลับลุกขึ้นมาใหม่ เหลือไว้เพียงแต่ความทรงจำ และร่องรอยของไฟที่ดับไปเช่น รอยไหม้ ควัน ไออุ่น ฯลฯ นั่นเอง และสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ไฟ

    ดังนั้นจึงไม่ใช่วิสัย ที่ พระพุทธเจ้าจะดำรงเฉกเช่นสมัยที่พระองค์ดำรงพระชนม์อยู่ นี่คือข้อเท็จจริงที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมอรหันต์ ตรัสสอนไว้ด้วยพระองค์เอง ไม่ใช่สิ่งที่ผมแต่งขึ้นมาหรือ คิดเอาเอง

    แต่ด้วยภาษาสมมุติบัญญัติที่สื่อสาร อาจทำให้คุณอุรุเวลาสับสนได้

    ที่ผมกล่าวว่า

    นี่เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ไม่ใช่ผมคิดเอง อุปมาเหมือนไฟที่ดับไปแล้วสิ้นเชื้อเพลิงแล้ว ก็ไม่มีใครที่สามารถกลับไปหาไฟดวงเดิมที่ดับไปแล้วได้

    และนิพพานนั้นมีคุณสมบัติเป็นอนัตตา คือไม่มีตัวตน ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ การกล่าวว่า "ไม่มีพระพุทธเจ้าตัวตนจริง ๆ ในแดนนิพพาน" จึงเป็นการกล่าวตามจริง ที่ไม่เกินเลยจากคำสอนของพระพุทธเจ้า

    เพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่อนัตตาอยู่แล้ว ถ้าหากยังเข้าใจว่า มีพระพุทธเจ้าเป็นตัวตน (อัตตา) ในแดนนิพพาน นับว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด จากหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ แต่เป็นความคิดของพราหมณ์ฮินดูที่เชื่อในเรื่อง ปรามาตมัน และเมื่อยังมีคนที่เชื่อผิดๆแบบนี้ จึงไม่แปลกใจที่ทำไมลัทธิจานบินจึงหลอกเอาเงินผู้คนได้มากมายเพื่อนำข้าวทิพย์ไปถวายพระพุทธเจ้าในแดนนิพพานได้ยังไงล่ะครับ
     
  17. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    คือต้องเข้าใจก่อนนะครับ ว่า อะไรที่เป็นไปได้อะไรที่เป็นไปไม่ได้

    ไม่มีพระอริยะส่วนไหนหรอกครับที่ทำได้ เพราะพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้วว่า ไม่ได้ แม้ว่าพระอริยะจะนิมิตเห็นพระพุทธเจ้าก็จริงแต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริงๆ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในพรหมชาลสูตรว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ ขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต


    ในเรื่องนี้แม้หลวงปู่มั่นท่านจะเห็นนิมิตพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้ความว่าหลวงปู่มั่นผิด เพราะในเมื่อท่านเห็นนิมิตเช่นนั้นจริง ท่านก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าที่เห็นนั้นเป็นนิมิต ไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระองค์จริง ดังที่หลวงพ่อพุธท่านได้อธิบายให้สมเด็จพระสังฆราชฟัง

    แล้วหลวงปู่มั่นก็มาเล่าให้บรรดาลูกศิษย์บรรพชิตฟัง (อุปมาเหมือนคนทั่วไปที่เล่าความฝันสู่กันฟัง โดยที่รู้อยู่แก่ใจว่า ความฝันนั้นไม่ใช่ความจริง) ซึ่งไม่ถือว่าผิดธรรมวินัยแต่อย่างใด เพราะเป็นกล่าวอุตริมนุษยธรรมที่พบเห็นจริงด้วยตนเองกับบรรพชิตด้วยกัน

    เรื่องนี้ไม่แน่ใจว่าท่านเล่าให้ใครฟัง เพียงแต่หลวงตามหาบัว ท่านไปไล่เลียงถามลูกศิษย์องค์ต่างๆ รวมกับประสบการณ์ตรงที่ท่านเคยอยู่กับหลวงปู่มั่น แล้วนำมาสรุปเขียนเป็นหนังสือประวัติหลวงปู่มั่น


    หากเรายังเชื่อสิ่งที่ผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่ามีโอกาสเป็นไปได้
    ต่อไปก็จะมีคนอาศัยจุดนี้ บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว

    เช่น หลอกเอาเงินผู้คนแล้วอ้างในสิ่งที่ไม่จริงว่าจริง เช่น พาไปถวายข้าวทิพย์ให้พระพุทธเจ้าใดแดนนิพพาน ดังที่เคยมีมาแล้ว

    หรือ อาจจะอ้างว่า เป็นพระก็มีเพศสัมพันธ์ได้เหมือนปุถุชน เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ก็สามารถบรรลุอรหันต์ได้ แม้แต่บรรลุอรหันต์แล้วก็ยังแต่งงานมีเพศสัมพันธ์เหมือนปุถุชนได้อยู่ เป็นต้น

    หรืออ้างว่า ทำอนันตอริยกรรม เช่นฆ่าพ่อแม่เป็นต้น ก็อาจจะยังบรรลุธรรมได้อยู่

    คือถ้าเราไม่รักษาว่าสิ่งใดถูกไม่ถูก และยังเผื่อใจไว้สำหรับสิ่งที่ไม่ใช่แน่ๆ พระสัทธรรมก็จะเลือนหายไปเร็วยิ่งขึ้นครับ
     
  18. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    หรือถ้าใครคิดว่านั่งสมาธิแล้วบอกว่าพบเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง หรือ รู้จักผู้ที่ทำเช่นนี้ได้
    ผมอยากจะฝากถามหน่อยว่า ช่วยถามพระพุทธเจ้าในนิมิตดูทีว่า
    "สิกขาบทเล็กน้อยที่พระพุทธเจ้าให้เพิกถอนได้คืออะไรบ้าง"
    เชื่อเลยว่า จะได้คำตอบไม่เหมือนกันแน่นอน (ถ้าไม่เตี๊ยมกันไว้ก่อนหรือไปแอบดูคำตอบกัน)

    ก็ขนาดพระอรหันต์ทรงคุณวิเศษมีอภิญญาหก มีวิชชาสาม มีปฏิสัมภิทา เป็นต้น รวม 500 รูปท่านยังไปหาพระพุทธเจ้าที่นิพพานไม่ได้เลย (นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้แล้วว่า ตถาคตปรินิพพานแล้ว เทวดาและมนุษย์ จักไม่เห็นตถาคตอีก)

    เหมือนกับ นิมิตว่า ใครเป็นช้างปาลิไลยกะ มาเกิด ก็ได้คำตอบแทบจะไม่ซ้ำกันซักราย

    มีนิทานเซน เรื่องหนึ่งที่ว่า

    มีคนถูกผีหลอกทุกคืน ผีรู้ความลับทุกอย่างของตนหมดเลย เลยไปหาพระเซนให้ช่วยไล่ผี พระให้ถั่วมาถุงนึง บอกว่า เวลาผีมาให้ลองถามผีดูว่า ถ้าเอ็งเก่งจริงนะ ลองบอกซิว่า ถั่วในถุงนี้มีกี่เม็ด

    ปรากฏว่า พอถามผีแล้วผีหายตัวไปเลย

    ไปหาพระ ท่านบอกว่า ผีนั้นเกิดจากการสังขารที่จิตปรุงขึ้นมา
     
  19. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    นอกจากนี้พระพุทธเจ้าตรัสถึงสภาวะนิพพานไว้ใน เกวัฏฏสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ว่าเป็น "ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใสโดยประการทั้งปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้ อุปาทยรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้ นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ เพราะวิญญาณดับ นามและรูปย่อมดับ ไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ ดังนี้ฯ" (ที.สี.14/350) 

    ถ้ามีตัวตนพระพุทธเจ้าอยู่ ก็แสดงว่า นามรูปยังไม่ดับ ซึ่งขัดแย้งกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

    และพระพุทธเจ้ายังตรัสถึงนิพพานในพาหิยสูตร ความว่า "ดิน น้ำ ไฟ และลม ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด ในนิพพานธาตุนั้น ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง พระอาทิตย์ย่อมไม่ปรากฏ พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี ก็เมื่อใดพราหมณ์ชื่อว่าเป็นมุนีเพราะรู้ (สัจจะ 4) รู้แล้วด้วยตนเอง เมื่อนั้นพราหมณ์ย่อมหลุดพ้นแล้วจากรูปและอรูป จากความสุขและความทุกข์..." (ขุ.ขุ.อ.25/50)

    ดังนั้นจะเห็นว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้เองว่า ในนิพพานปราศจากรูป เป็นการสอนให้รู้ว่าสิ่งที่ถูกต้องนั้นเป็นเช่นไร ไม่ใช่พูดไม่ได้เลย เพราะถ้าไม่พูดสอนออกมาก็ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่ายังมีตัวตนในนิพพานอยู่นั่นเอง
     
  20. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พุทธศาสนานั้นมุ่งแสดงเข้ามาถึงเหตุผลที่เป็นภายใน คือเหตุผลที่มีอยู่ในบุคคลทุก ๆ คน ที่เนื่องด้วยกรรมและที่เป็นสภาพดังที่กล่าวมา พระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโพธิ์สัตว์ ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ได้ทรงปรารภถึงความแก่ ความเจ็บ ความตายที่มีอยู่แก่ชีวิตทุกชีวิต ทรงปรารภโมกขธรรม จึงได้เสด็จออกทรงผนวชแล้วก็ได้ทรงค้นคว้าแสวงหาทางเพื่อที่จะประสบโมกขธรรม จนได้ทรงพบทางอันเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา ข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางกลาง จึงได้ทรงปฏิบัติดำเนินไปในทางนี้อย่างเต็มที่แล้ว จึงได้ตรัสรู้สัจจะคือความจริง อันได้แก่สัจจะทั้ง ๔ คือ ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดังที่ได้แสดงอธิบายมาแล้ว สัจจะทั้ง ๔ นี้ เป็นเหตุผลภายใน ที่เนื่องด้วยกรรมและที่เป็นสภาพ ทุกข์กับสมุทัยนั้นเป็นเหตุและผลฝ่ายสมุทยวาร คือวาระแห่งสมุทัยคือความเกิด ส่วนนิโรธกับมรรคเป็นเหตุผลฝ่ายนิโรธวาร วาระแห่งความดับ ดังจะพึงเห็นได้ว่า เมื่อมีทุกขสมุทัยคือเหตุให้เกิดทุกข์ อันได้แก่ตัณหา ก็ต้องมีทุกข์คือมีชาติความเกิด มีชรา ความแก่ มีมรณะความตายโดยนัยนี้ แม้เมื่อตายไปแล้วก็ต้องมีชาติคือความเกิดขึ้นอีก แล้วก็มีความแก่ แล้วมีความตาย ตายแล้วก็ต้องมีชาติคือความเกิดขึ้นอีก แล้วก็มีแก่มีตาย จะเรียกว่าต้องมีเกิดตายหรือจะเรียกว่าต้องมีตายเกิดตลอดเวลาที่มีตัณหาอยู่ดังนี้ก็ได้

    เพราะฉะนั้น หากจะถามว่าพระพุทธศาสนาแสดงว่าตายเกิดหรือตายสูญ ก็จะต้องตอบว่า พระพุทธศาสนาแสดงเป็นวิภัชวาทะ คือมีวาทะที่แบ่งแยกจำแนกแสดง คือ แสดงว่าเมื่อยังมีตัณหาอยู่ก็ต้องตายเกิด และหากจะถามว่าเมื่อสิ้นตัณหาแล้วตายสูญหรือ ข้อนี้ก็ตอบได้ตามหลักนิโรธวารที่จะกล่าวต่อไปว่า เมื่อสิ้นตัณหาแล้วตายไม่เกิด แต่พระพุทธศาสนาไม่ได้แสดงว่าพระอรหันต์ดับขันธ์ไปแล้วสูญ นี้เป็นวาทะทางพระพุทธศาสนา

    ฉะนั้น เมื่อมีทุกขสมุทัยคือตัณหาอยู่ ก็ต้องมีทุกข์ คือ เกิด ตาย ตาย เกิด และทุก ๆ สัตว์บุคคลนี้จะเกิด ตาย ตาย เกิด มานานเท่าไรในอดีต ตามหลักพระพุทธศาสนา แสดงว่าเป็นอนมตัคคะ คือมียอดหรือว่าปลายสุดที่ไม่ตามไปรู้ ซึ่งหมายความว่านานมาก เมื่อเป็นดังนี้ ทางพระพุทธศาสนาก็ไม่ประสงค์จะให้ตามไปรู้ ฉะนั้น คำว่าอนมตัคคะ จึงอาจมีความหมายว่า มีปลายหรือยอดอันไม่ประสงค์จะให้ตามไปรู้

    เมื่อเป็นดังนี้ หากจะมีปัญหาว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นทางพระพุทธศาสนาประสงค์จะให้รู้เหตุและผล หรือผลและเหตุในปัจจุบัน ว่าเพราะอะไรจึงต้องเวียนตายเกิดหรือว่าเกิดตายไม่จบและจะให้จบลงได้อย่างไร จึงได้มีพระสูตรหนึ่งที่ได้แสดงเป็นอุปมาไว้ว่า

    พระพุทธเจ้าเหมือนอย่างหมอที่รักษาคนที่ถูกยิงด้วยลูกศรทำนองหมอผ่าตัด เมื่อมีผู้ถูกยิงด้วยลูกศร พวกญาติก็นำมาหาหมอ ถ้าว่าหมอจะมัวซักถามรายละเอียดว่า ถูกยิงที่ไหน ใครยิง ยิงด้วยลูกศรอะไร ลูกศรนั้นใครทำ ทำด้วยอะไร เหล่านี้เป็นต้น คนไข้ที่อาการไม่มากนักก็จะมาก ที่มากก็จะตายเลย เพราะฉะนั้นหน้าที่ของหมอก็คือว่ารีบผ่าตัดนำเอาลูกศรออกทันทีและก็ทายาให้ยา โดยไม่ต้องเสียเวลาไปซักถามดังกล่าว

    พระพุทธเจ้าก็เหมือนอย่างหมอรักษาแผลลูกศร เมื่อคนไข้มาหาหมอ คือเมื่อคนทั้งหลายผู้ต้องการพ้นทุกข์ต้องการธรรมมาเฝ้าเพื่อฟังธรรม หน้าที่ของพระองค์ซึ่งได้ตรัสรู้ทรงทราบแล้วว่า ได้มีลูกศรคือตัณหาเสียบจิตใจอยู่อันทำให้ต้องเป็นทุกข์ จึงได้ทรงทำการผ่าตัดนำเอาลูกศรคือตัณหาออกทันที่ไม่จำเป็นจะต้องไปสอบถามรายละเอียดต่าง ๆ ในอดีต ฉะนั้นหน้าที่ของพระองค์ก็คือ ทรงแสดงมรรคทางปฏิบัติให้ถึงทางดับทุกข์ คือดับตัณหา ในการถอนลูกศรคือตัณหาที่เสียบแทงใจออกเพื่อให้พบกับทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ คือดับตัณหาเสีย นี้เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น จึงจะพีงเห็นได้ว่า ทางพระพุทธศาสนานั้นไม่กังวลในเรื่องว่าใครสร้างโลก ใครสร้างดิน น้ำ ไฟ ลม และทุก ๆ สัตว์บุคคลนี้มาจากไหน ตั้งแต่เมื่อไรในอดีต ไม่กังวลในเรื่องเหล่านี้ และไม่ถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญถือว่าเป็นอนมตัคคะ คือมีปลายสุดที่ไม่จำเป็นที่จะต้องตามไปรู้ที่ไม่ประสงค์จะไปตามรู้ ซึ่งไม่บังเกิดประโยชน์อันใด หน้าที่ของพระองค์ก็คือว่า แสดงธรรมโปรดในปัจจุบัน ให้พ้นทุกข์ในปัจจุบัน เพราะได้ตรัสรู้เหตุผล เหตุผลสายมสมุทัยวารและเหตุผลสายนิโรธวาร คนไข้คือทุกคนที่มีทุกข์ มีเกิด มีแก่ มีตาย มีตัณหา นี่เป็นคนไข้ทั้งนั้น เมื่อมาพบพระพุทธองค์เข้า พระองค์ได้ตรัสรู้ในสมุทัยวารและนิโรธวารอยู่เต็มที่แล้ว ก็ได้ทรงรักษาแสดงธรรมผ่าตัดนำเอาลูกศรที่เสียบแทงใจคือตัณหาออกทันที่โปรดให้พ้นทุกข์ทันที เป็นหน้าที่ของหมอคือพระพุทธเจ้า

    พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร
     

แชร์หน้านี้