พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จอนุโมทนา พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จริงแค่ไหน ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ไจโกะ, 7 พฤศจิกายน 2013.

  1. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002


    คำว่าพระพุทธรูปที่เป็นทองเหลืองแบบในรูปนี้ก็ไม่มีในพระไตรปิฏก
     
  2. tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090



    ผมไม่ได้เป็นคนตัดสิน พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้เป็นพระองค์แรกเป็นผู้ตรัสสอนเองคุณยังไม่ฟัง และยึดมั่นความเห็นของคุณ ก็สุดแล้วแต่คุณเถอะ
    คุณมีสิทธิที่จะคิดอย่างนั้นครับ

    ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธก็ควรฟังพระพุทธเจ้าเป็นหลักใช่ไหมครับ
    สำหรับคุณคงเป็นลัทธิพุทธวจน ตามสบายครับ ไม่ว่ากัน

    เพราะผมไม่แน่ใจว่าคำพูดคนที่ยังมีกิเลส อย่างคุณจะถูกต้อง ผมจึงต้องเชื่อพระพุทธเจ้า
    ก็แล้วแต่คุณจะคิดครับ คุณจะยึดอะไรก็ได้ตามใจคุณ

    โดยสรุปคือ ไม่ว่าจะได้ฟังได้ยินคำสอนของใครก็ตาม

    อย่าพึ่งชื่นชม อย่าพึ่งคัดค้านคำกล่าวของผู้นั้นนั้น ให้ศึกษาแล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัยเสียก่อน
    - ถ้าไม่สอดคล้องกับ พระสูตร หรือ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่านี้มิใช่คำของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และ ภิกษุนี้/ภิกษุสงฆ์นี้/พระเถระเหล่านั้น/พระเถระนั้น จำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย
    - ถ้าสอดคล้องกับ พระสูตร หรือ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และ ภิกษุนี้/ภิกษุสงฆ์นี้/พระเถระเหล่านั้น/พระเถระนั้น จำมาถูกต้องแล้ว

    ผมก็ยังยืนยันว่าเรื่องฌานของผม เข้าใจตรงตามพระธรรม
    แต่คุณอ่านแล้วตีความว่าเพียงกำลังของฌาน ๑ ก็บรรลุธรรมได้
    ก็เป็นเรื่องของคุณ ผมไม่คิดว่าผมไม่ตรงกับพระธรรมดอก

    สำหรับคุณ บอกอะไรไปตอนนี้ เห็นแล้วว่ายังไม่พร้อม
    ปฏิบัติไปก่อนครับ แล้วจะเข้าใจเอง
    คุณต้องเข้าใจสภาวะของฌานจริงๆเสียก่อนนะครับ
    ถ้าไม่เข้าใจถ้าไม่ลองปฏิบัติให้เห็นผล
    คุณจะตีความหมายของพุทธวจน ให้เข้าใจเต็มร้อยไม่ได้เลย
    เอาง่ายๆ แค่คำว่าฌาน ๑ ๒ ๓ ๔
    สำหรับผม ฌานที่สมบูรณ์ มีเพียงฌาน ๔ เท่านั้น
    เพราะคือ จตุตถฌาน เป็นอารมณ์สมบูรณ์พร้อม จิตขาดจากกาย
    อรูปฌานก็เป็นฌาน ๔ ระดับเดียวกัน
    สำหรับ ๑-๓ จึงเป็นสมาธิระดับต่ำๆ เอามาใช้ฆ่าอวิชชาไม่ได้ดอก
    คุณต้องลองฝึกให้ถึงแล้วจะรู้นะครับ
    ลองให้เห็น แล้วจะพบคำตอบ
    คุณลองทำฌาน ๑ ให้เกิด ซึ่งก็ไม่ยากเลย วันเดียวก็ได้แล้ว
    แล้ววิปัสสนาไป ดูว่าคุณจะบรรลุอรหันต์ได้หรือไม่

    จงจำไว้ว่า พระธรรมถูกบิดเบือนได้
    พระไตรปิฏกที่เป็นคนละส่วน
    บางบทยังค้านกันเองเลย
    ฉะนั้น ปัญญาคือสิ่งสำคัญ
    ไม่สำคัญว่าธรรมไหนถูกบิดเบือน
    แต่สำคัญที่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์
    เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นหรือเปล่า เท่านั้นพอ

    อย่าเพิ่งตัดสินว่าธรรมของผมผิดเลย
    อย่าทำเหมือนคนตาบอด ที่ไม่รู้จักช้าง
    พอคลำหางช้างแล้วบอกว่า ช้างเหมือนเชือก
    คนตาดีเขาเห็น เขาก็ตอบว่าไม่ใช่ช้าง
    นั่นมันหาง แต่คนตาบอดก็ยังบอกว่าเป็นช้าง
    อย่าทำตัวเหมือนปลา
    ที่เอาแต่พูดถึงเรื่องราวบทบก
    ว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
    ทั้งที่ตนไม่สามารถขึ้นไปได้
    พอเต่าได้มาฟังก็ขำ
    เพราะเต่ารู้เต่าเห็นความเป็นจริงทั้งหมด
    แต่พอเต่าบอก พวกปลาทั้งหลายก็ไม่เชื่อ

    แค่ลองปฏิบัติก่อนเถิด จะเกิดผล
     
  3. tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ส่วนมาก จุดพร่องผู้อื่นเห็นชัดครับ ตนเองพร่องไม่พบครับ
    ถ้าปฏิบัติ ก็คงหมดคำถาม
     
  4. (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445
    พระอรหันต์แบบสุขวิปัสสโกไม่จำเป็นต้องได้ฌาน1 เพราะตามหลักวิปัสสนา แค่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิก็สามารถทำได้ ในทางปฏิบัติท่านจะนับเอาอุปจารสมาธิ ก็พอแล้ว
    ยกตัวอย่างสำนักปฏิบัติที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยก็มีสำนักวิปัสสนาแนวเคลื่อนไหวของหลวงพ่อเทียนที่สอนแบบนี้

    ส่วนใครจะใช้ฌาน1-4 ก็ได้แบบที่ฮิตกันในสำนักปฏิบัติทั่วไทย ก็ไม่แปลกอะไร ก็ทำไปตามคุณถนัดสิครับ

    อย่างไรก็ตามไม่ได้มีข้อห้ามว่าวิปัสสนาจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ปฏิบัติสามารถเข้าฌานได้ก่อน

    ดังนั้นท่านพระพุทธโฆษา เมื่อครั้งแต่งวิสุทธิมรรค แล้วท่านทำการแบ่งพระอรหันต์ออกเป็นสองคือ เจโตวิมุตติ และ ปัญญาวิมุติ (ปล.ท่านก็ประมวลมาจากคัมภีร์รุ่นก่อนๆๆแล้วเอามาจัดระบบใหม่นั้นแหละไม่ได้คิดเองซะทั้งหมดเหมือนเรื่องกรรม12)

    แล้วซอยย่อยลงไปว่า ปัญญาวิมุติ ได้แก่พระอรหันต์แบบสุขวิปัสสโก 5 จำพวก
    ท่านก็ใช้ความเข้าใจข้างต้นคือ แบ่งตามพระอรหันต์ที่ได้ฌาน ๑ ๒ ๓ ๔ ส่วนที่ไม่ได้ก็คือใช้แค่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ ท่านก็นับเข้าอีก ก็เลยมีพระอรหันต์แบบสุขวิปัสสโก 5 จำพวก(บางอ.ไม่นับขณิกสมาธิแต่ถือเอาอุปจารสมาธิตัวอย่างอ.สมัยใหม่ที่ชัดๆๆก็เช่นพระพรหมคุณากรณ์)

    โดยท่านได้เขียนเน้นว่า ประเภทนี้จัดเป็นปัญญาวิมุติแท้ คือใช้แต่ปัญญาล้วนๆๆ แต่ไม่ใช่ไม่อาศัยสมาธิเพียงแต่เป็นสมาธิที่ไม่ได้ถึงฌานก็แค่นั้น

    พระพรหมคุณากรณ์เขียนไว้ละเอียดในหนังสือพุทธธรรมก็ลองอ่านดูเอง...เถิด

    ส่วนเรื่ิองพระอรหันต์แบบสุขวิปัสสโกตัวอ.ที่สนับสนุนให้ปฏิบัติแค่นี้ให้พอกับการดับทุกข์ซึ่งจะสวนกระแสหลักที่เขาให้คุณไตร่ไปเรื่อยๆๆใช่ไหม? ก็มีท่านพุทธทาส หลวงพ่อเทียน ก็อย่าไปตกใจ มันไม่แปลกอะไร

    แล้วทำไมถึงมีพระอรหันต์ต่างกันขนาดนี้ คำตอบก็คือมันเป็นเรื่องความต่างกันแห่งอินทรีย์ ก็คนเรามันเหมือนกันที่ไหนกันล่ะ ใครถนัดแบบไหนอะไรยังไงมันก็ไปตามนั้น

    ดั่งในมหามาลุงโกฺยวาทสูตร

    [๑๕๙] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้ามรรคนี้ ปฏิปทานี้ ย่อมเป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิย*สังโยชน์ ๕ เมื่อเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุไร ภิกษุบางพวกในพระศาสนานี้ จึงเป็นเจโตวิมุติ บางพวกเป็นปัญญาวิมุติเล่า.
    ดูกรอานนท์ ในเรื่องนี้ เรากล่าวความต่างกันแห่งอินทรีย์ ของภิกษุเหล่านั้น.
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์มีใจยินดีชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.

    ก็หมายความว่า ที่ต่างกันคือบางพวกเป็นเจโตวิมุติ บางพวกเป็นปัญญาวิมุติก็เพราะ ความต่างกันแห่งอินทรีย์
    นี้หลักใหญ่ เราอาจจะประยุกต์หลักนี้ได้อีกว่า ที่อรหันต์มีถึงสิบประเภท(เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อย่างละ5 ตามตำราท่านอ.พุทธโฆษาเรียบเรียงไว้) ก็เพราะ ความต่างกันแห่งอินทรีย์

    ก็แค่นั้น

    เรื่องแค่นี้เถียงกันจะเป็นจะตายเอาตัวกูตัวสูมาสู้กัน ทั้งๆๆที่มันไม่ได้มีแต่เพราะเผลอมันก็เลยมีขึ้นมาได้ แล้วก็เตลิดหลุดโลกไปเลย อ่านเล่นๆๆก็ขำนะ ไอ้พวกที่มั่วก็มั่วหลุดโลก ไอ้ที่หน้าด้านก็หน้าด้านจริงๆๆ ที่มีหลักการก็ของชมเชย แต่เถียงกันในแง่แลกเปลี่ยนหรือเอาชนะกันล่ะ ระวังเถิด

    มันจะเป็นเครื่องพิสูตรว่า มีความเข้าใจธรรมจริงๆๆมากน้อยแค่ไหน คนโบราณท่านว่าไอ้คนที่โกรธคนอื่นว่าจังไรแล้ว ไอ้ที่โกรธเขาตอบนั้นจังไรกว่า เลวกว่า ......โตๆๆกันแล้วนะแต่ละคนอายุปาไปเท่าไหร่ละ ส่วนอุรุเวลาก็ซ้ำซากอย่างเรื่องพระพุทธรูปนี่กี่ปีแล้วพูดอย่างกับคนไม่เต็มเต็งซ้ำๆๆไปมาเหมือนคนสมองไม่พัฒนา เหอๆๆๆๆๆ เอากันเข้าไป
     
  5. tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ตัวกูของกูก็มีกันทั้งนั้นแหละครับ
    ไม่งั้นไม่มาโพสตอบโพสโต้กันอย่างนี้
    ผู้อ่านก็อ่านๆๆๆ พอมีอัตตาบ้าง ก็เข้ามาแจม
    บางทีผู้ที่โต้แย้งกันก็เฉยๆนะ
    ผู้อ่านคนอื่นกลับมีอารมณ์
    ก็เป็นเรื่องแล้วแต่บุคคล
    ทุกคนล้วนมีอัตตาตัวตนของตนทั้งสิ้นครับ
    อยู่ที่ว่าจะเอาตัวตนของตน ออกมาแจมในแนวไหน
    มาแบบสุภาพชน หรือหลุดโลกชน หรือรั้นชน ก็ว่ากันไป
    ข่มกันมาข่มกันไป อวดดีกันมาอวดดีกันไป
    ด่ากันมาด่ากันไป ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้นแหละครับ
    ลองเริ่มด้วยโพสที่เป็นปัจจัตตังมาแล้ว ถกกันยาว
    ไม่มีจบ แล้วก็เริ่มแจมกัน แจมไปแจมมา
    เหตุผลหาย กลายเป็นด่ากัน ด่าเขา สุดท้ายไม่พ้นตัว
     
  6. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    เช่นเดียวกับคุณไงครับ เรื่องของคุณ ผมแค่ช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดให้ คุณไม่รับก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ ผมไม่นิ่งดูดาย ปล่อยให้ธรรมะถูกบิดเบือน ด้วยความเห็นผิดของคุณแค่นั้นเอง


    เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเช่นนั้นครับ สิ่งที่คุณโพสต์คุณแสดงความเห็นนั้น เป็นการบิดเบือนพระพุทธพจน์ จึงเป็นการสร้างความเดือดร้อนต่อชนรุ่นหลัง ที่ธรรมแท้จะเสื่อมไปเพราะถูกบิดเบือนแค่นั้นเอง

    พระพุทธเจ้าตรัสในอปริหานิยธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่ป้องกันความเสื่อมว่า

    ไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ ไม่ล้มล้างสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลายตามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้

    พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ฌาน 1 ก็บรรลุอรหันต์ได้ แต่คุณบิดเบือนว่า ต้องฌาน 4 เท่านั้น นี่เป็นการ บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ และ ล้มล้างสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้


    ใช่ครับผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจผิดไงครับ


    ผมนับถือพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ต่างๆ ที่สอนตามแนวทางของพระพุทธเจ้า ไม่บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า และไม่ยึดติดว่า ต้อง พระพุทธวจนะ เท่านั้น แต่รวมถึงครูอาจารย์ร่วมสมัยที่ เทียบเคียงได้กับพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เช่น หลวงพ่อพุธ เป็นต้น ที่ผมอ้างถึงในกระทู้นี้

    ผมปฏิบัติอยู่ก่อนที่คุณจะบอกแล้วครับ
    ตัวคุณเองก็ไม่ได้บรรลุอรหันต์ มัวแต่คิดเดาสุ่มผิดๆไป เท่านั้นเอง ว่าต้องฌาน 4 เท่านั้น

    แม้ผมจะไม่ได้บรรลุอรหันต์ เราทั้งคู่ก็ยังไม่ได้บรรลุอรหันต์ แต่ พระพุทธเจ้าที่เป็นจอมอรหันต์องค์แรกของโลกในยุคนี้ ท่านรู้และสอนไว้ว่า

    "เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ทั้งหลาย"

    คุณไม่ศึกษาพระพุทธพจน์ให้ถ่องแท้ ไม่ศึกษา พระอภิธรรมฯ มัวแต่คิดเอาเอง ไม่ได้รู้เห็นจริง พอยกหลักฐานมาให้ดูก็ เอาสีข้างเข้าถู เถียงข้างๆคูๆ ปกป้อง ความเห็นผิดของตน

    พระพุทธเจ้าสอนตรัสให้เทียบเคียงกับพระสูตรและพระวินัยดู ทั้งๆที่เข้ากันไม่ได้ก็ยังตะแบงว่าความเห็นตนถูกต้อง

    คงป่วยการที่จะอธิบายให้เข้าใจเพราะแม้แต่พระพุทธพจน์ง่ายๆ ชัดเจน ว่า "เธอตั้งอยู่ในปฐมฌาน/ทุติยฌาน/ตติยฌาน/จตุตถฌาน นั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ทั้งหลาย" คุณก็ยังไม่เข้าใจ เอาแต่เชื่อผิดๆอยู่ว่า ต้องจตุตถฌาน หรือ ฌาน 4 อยู่ร่ำไป เชิญคุณเชื่อไปเถอะครับ ผมเพียงแต่ยกสิ่งที่ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าสอนมา บอกว่าอะไรถูกอะไรผิด แค่นั้นเอง

    ต่อให้ผมปฏิบัติแล้วบรรลุอรหันต์ด้วยปฐมฌานแล้วมาบอกคุณ คุณก็คงไม่เชื่อในสิ่งที่ผมบอกหรอก เพราะมันขัดกับความเชื่อของคุณที่ว่าต้องฌาน 4 เท่านั้น ขนาดพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า บรรลุอรหันต์ได้ไม่ว่าจะฌาน 1 ก็ตาม คุณยังไม่เชื่อเลย

    ผมถามว่าคุณเอามาจากไหน ที่ว่าต้องฌาน 4 เท่านั้น จะได้แจ้งให้ทราบว่า แหล่งข้อมูลนั้น เป็นแหล่งข้อมูลที่ผิดไงครับ คุณเองก็ยังไม่บอกเลย ถ้ามีในพระไตรปิฎกหรืออรรถกถา ก็ช่วยยกมาทีนะครับ หรือถ้าคุณบอกว่า คุณคิดเอาเอง อันนี้ก็ชี้แจงให้ทราบว่า ไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอนนะครับ

    สรุปคือ ฌาน 4 ก็บรรลุได้ไม่ผิดครับ แต่ผิดที่ว่า ต้องฌาน 4 เท่านั้น ฌาน 1-2-3 ไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแบบนี้ครับ

    แต่ขออนุโมทนากับคุณอย่างนึงครับ ที่คุณสามารถแก้ไขมิจฉาทิฏฐิในตัวคุณก่อนหน้านี้ที่ว่า พระอรหันต์เสื่อมได้

    ถูกบิดเบือนเพราะคนไม่ศึกษาพระพุทธพจน์ให้ดี และกล่าวบิดเบือนพระพุทธพจน์นี่แหละครับ อย่างเช่นว่า บรรลุได้ตั้งแต่ ฌาน 1-4 ถูกบิดเบือนเป็นฌาน 4 เท่านั้น

    คุณเองก็ไม่มีหลักฐาน ว่า สังคายนาครั้งแรก พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าต้องฌาน 4 เท่านั้นแล้วคนรุ่นหลังมาแก้เป็นฌาน 1-4 ได้แต่คิดเอาเอง

    แต่ความจริงเขาไม่แก้กันหรอกครับ กลัวนรกจะกินหัว ขนาดจารพระไตรปิฎกลงใบลาน คนสมัยก่อนเขายังถือเลยครับว่า อักษร 1 ตัวเทียบเท่าพระพุทธรูป 1 องค์ อย่าให้ผิดพลาด ขาดตก บกพร่อง

    สัทธรรมปฏิรูปยังไม่เกิดขึ้นในโลกตราบใด
    ตราบนั้นพระสัทธรรมก็ยังไม่เลือนหายไป และสัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นในโลกเมื่อ
    ใด เมื่อนั้นพระสัทธรรมจึงเลือนหายไป ทองเทียมยังไม่เกิดขึ้นในโลก ตราบใด
    ตราบนั้นทองคำธรรมชาติก็ยังไม่หายไป และเมื่อทองเทียมเกิดขึ้น ทองคำธรรม-
    *ชาติจึงหายไป ฉันใด พระสัทธรรมก็ฉันนั้น สัทธรรมปฏิรูปยังไม่เกิดขึ้นในโลก
    ตราบใด ตราบนั้นพระสัทธรรมก็ยังไม่เลือนหายไป เมื่อสัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้น
    เมื่อใด เมื่อนั้นพระสัทธรรมจึงเลือนหายไป ฯ
    [๕๓๓] ดูกรกัสสป ธาตุดินยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ธาตุ
    น้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ที่แท้โมฆบุรุษใน
    โลกนี้ต่างหาก เกิดขึ้นมาก็ทำให้พระสัทธรรมเลือนหายไป เปรียบเหมือนเรือจะ
    อัปปาง ก็เพราะต้นหนเท่านั้น พระสัทธรรมยังไม่เลือนหายไปด้วยประการฉะนี้ ฯ
    [๕๓๔] ดูกรกัสสป เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเหล่านี้ ย่อมเป็นไปพร้อม
    เพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการ
    เป็นไฉน คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ ไม่เคารพ
    ยำเกรงในพระศาสดา ๑ ในพระธรรม ๑ ในพระสงฆ์ ๑ ในสิกขา ๑ ในสมาธิ
    ๑ เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อ
    ความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม ฯ


    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=16&A=5846&Z=5888

    แล้วส่วนไหนบ้างครับที่ค้านกันเอง

    ผมนำธรรมของพระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคลตาดีมากล่าว
    คุณเองก็เชื่อว่า ต้องฌาน 4 เท่านั้น ก็ไม่ต่างกับตาบอดคลำช้างเหมือนกัน รู้แค่บางส่วน ไม่รู้ภาพรวมทั้งหมดว่า ฌาน 1-3 ก็ทำได้เหมือนกัน นี่เป็นธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่า สิ้นอาสวะบรรลุอรหันต์ในฌาน 1-4 ครับ
     
  7. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284


    ผมไม่เคยบอกครับ ว่าคำแต่งใหม่จากสาวกจะผิดทั้งหมด จะถูกทั้งหมด
    คุณอุรุเวลา มั่วนิ่มกล่าวตู่ผมเอง ว่าผมไม่เอาคำแต่งใหม่

    ผมเห็นว่า คำสอนใครก็ตาม ที่เทียบเคียงได้กับ พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และไม่ผิดจากที่พระพุทธเจ้าสอน ผมก็รับฟัง อย่างเช่น หลวงพ่อพุธ เป็นต้น

    คำที่ว่าไม่มี ในพระไตรปิฎก แต่มีในอรรถกถา และไม่ขัดแย้งกับพระพุทธพจน์ ผมก็มีสิทธิ์อ้างได้ครับ ผมไม่ได้จำกัดตัวเองว่า ต้องพระพุทธพจน์เท่านั้น พระไตรปิฎกเท่านั้น

    ผมคัดค้านสิ่งที่ขัดแย้งกับพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกต่างหาก


    คุณอุรุเวลา บรรลุแล้วหรือยังครับ ดีแต่อ้างครูบาอาจารย์ต่างๆ โดยที่ไม่ปฏิบัติตามทั้งหมด

    เอาง่ายๆ กฎกติกาในเว็บบอร์ดคุณก็ยังรักษาไม่ได้ โดนแบนแล้วแบนอีก

    คุณก็ เอาแต่ติดว่า ระหว่างปฏิบัติไม่ได้ฌานก็บรรลุไม่ได้ และกล่าวตู่ผมว่า
    "สำคัญตนว่า บรรลุธรรมโดยไม่ได้ฌาน"

    ลองอ่านดูที่คุณโพสต์นะครับว่าขัดแย้งกันเองแค่ไหน

    หลวงตาสอนแค่นี้ หลวงตาท่านก็ไม่ได้บอกนี่ครับว่า ระหว่างปฏิบัติต้องได้ฌานก่อน หรือ ไม่ได้ฌานก่อน

    อีกอย่างมันเป็นคนละประเด็นนะครับว่า "ผู้ปฏิบัติผู้บรรลุไม่ค้านกัน ถ้าไม่ปฏิบัติไม่รู้แล้วค้าน"

    ถ้ามันถูกต้อง ตามพระพุทธเจ้าจะไปค้านอะไรล่ะครับ แต่ถ้าผิดจากพระพุทธเจ้าต้องค้าน เพื่อไม่ให้สัทธรรมบิดเบือนครับ

    แม้หลวงตามหาบัวเองท่านก็ยังค้าน ถ้าใครที่ทำผิด เหมือนกัน สิ่งที่ผิดธรรมเข้ากับธรรมไม่ได้ ก็ต้องค้านครับ

    คุณอุรุเวลาเองไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎกมาก ก็ว่าคนที่เขาศึกษาว่า "ยึดตำราเรียนมามากก็ยึดมาก ฟุ้งมากแต่ไม่ปฏิบัติ"

    แต่ลืมดูตัวเองว่า ไม่ได้ยึดตำรา แต่ก็ไปยึดคำสอนครูบาอาจารย์แทนตำรา รวมทั้งเอาแต่ copy คำสอนครูบาอาจารย์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องมาแปะมั่วไปหมด และฟุ้งซ่านมากไม่ปฏิบัติเหมือนกัน
     
  8. tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ก็ตามนั้นแหละครับ ไม่มีอะไรจะแก้ตัวครับ
    ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ลองมาเอง แล้วได้คำตอบมาแบบนั้น
    จึงไม่สามารถจะอ้างอิงที่มาจากตำราหรือพระธรรมใดได้
    ถ้าคุณคิดว่าผมผิดบิดเบือนก็ขออภัยก็แล้วกันครับ
    ต่อความยาวสาวความยืดไป หาประโยชน์มิได้
     
  9. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ขอสรุปตามสมมุติบัญญัติสากลนะครับ

    ในพระไตรปิฎกแบ่งพระอรหันต์เป็น 2 ประเภทคือ
    1. ปัญญาวิมุตติ
    2. อุภโตภาควิมุตติ

    1) ปัญญาวิมุตตินั้น นิยามคือ ผู้ที่ไม่ได้ฌาน หรือ ได้สูงสุดแค่รูปฌาน 4 (ไม่ได้วิโมกข์ 8) แล้วบรรลุอรหันต์ ซึ่งจากนิยามแบ่งเป็น
    1.1 สุกขวิปัสสโก (ศัพท์ตามอรรถกถา) คือ ผู้ที่ไม่เคยได้ฌานในระหว่างปฏิบัติ แล้วบรรลุอรหันต์ (ถึงปฐมฌานแค่ตอนบรรลุ)
    1.2 ผู้เคยได้ฌานมาก่อนสูงสุด แค่ ฌาน 1 ในระหว่างที่ปฏิบัติแล้วบรรลุอรหันต์
    1.3 ผู้เคยได้ฌานมาก่อนสูงสุด แค่ ฌาน 2 ในระหว่างที่ปฏิบัติแล้วบรรลุอรหันต์
    1.4 ผู้เคยได้ฌานมาก่อนสูงสุด แค่ ฌาน 3 ในระหว่างที่ปฏิบัติแล้วบรรลุอรหันต์
    1.5 ผู้เคยได้ฌานมาก่อนสูงสุด แค่ ฌาน 4 ในระหว่างที่ปฏิบัติแล้วบรรลุอรหันต์

    2) อุภโตภาควิมุตินั้นคือผู้ที่ได้ทั้งรูปฌานและอรูปฌาน (วิโมกข์8) อันเป็นเจโตวิมุติ ในระหว่างที่ปฏิบัติแล้วบรรลุอรหันต์ อันเป็นปัญญาวิมุติ

    http://www.84000.org/tipitaka/read/?36.2/40-41

    นิยามวิโมกข์ 8 และ อุภโตภาควิมุติ
    http://www.84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=10&item=66&items=1&preline=0&pagebreak=1

    ข้อมูลเพิ่มเติม
    http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=%CA%D8%A1%A2%C7%D4&detail=on
     
  10. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ผมเองก็ขออภัยเช่นกันครับ ที่อาจจะพูดตรงและแรงไป เพราะว่าผมเห็นธรรมเป็นใหญ่ และเจตนาจะรักษาพระธรรมแท้ให้ถูกต้อง ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ให้แม่นยำที่สุด
     
  11. นิพพานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +527
    ผมว่าการที่เราสงสัยเป็นสิ่งที่ดี แต่การที่จะหายสงสัยควรจะปฏิบัติควบคู่กันไปด้วย เริ่มด้วยการรักษาศีล 5 กรรมบท 10 ให้ครบก่อนจะดีไหมครับ แล้วสมาธิจะเกิดตามมา เมื่อถึงเวลาปัญญาจะเกิดเอง ความสงสัยของท่านก็จะหมดไป ( ขออภัยหากข้อความ นี้ไปกระทบจิตใจของทุกท่านที่จะทำให้เกิดกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม นะครับ )
     
  12. tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,649
    ค่าพลัง:
    +20,324
    ===============

    ขอยกตัวอย่างนิมิตพอสังเขปดังนี้

    ครั้งหนึ่งเกือบสิบปีมาแล้ว เคยนิมิต เห็นหลวงพ่อจรัญท่านอาศัยอยู่บนกุฏิไม้ ทรงไทย มีใต้ถุน ในนิมิตเห็นสีกาผู้หนึ่งนุ่งชุดขาวห่มขาว นั่งสนทนากับหลวงพ่อสองต่อสอง หลวงพ่อจรัญท่านได้ พลั้งเผลอไปสัมผัสแขนและมือของสีกาผู้นั้น หลังจากนั้น นิมิตก็ปรากฏเป็นไฟไหม้กุฏิหลวงพ่อจรัญ จนหมดสิ้นทั้งหลัง สร้างความเสียหายมาก

    จากนิมิตครั้งนี้ จึงได้ไปตรวจสอบ ที่วัด ได้ความจริงว่า เมื่อก่อนหลวงพ่อท่านอยู่จำวัดที่กุฏิไม้ลักษณะกึ่งทรงไทยจริง และได้เกิดไฟไหม้จริงแต่นานหลายไปแล้ว แต่เหตุที่ไฟไหม้นั้น สันนิฐานว่าเกิดจากการจุดธุปและเทียนทิ้งไว้ ไฟจึงไม้กุฏิหลวงพ่อหมด แต่หลวงพ่อไม่เป็นไร
    ส่วนที่นิมิตว่าหลวงพ่อเคยพลาดพลั้งไปจับมือถือแขนสตรีสีกานุ่งชุดขาวผู้นั้นไม่เป็นความจริงครับ จิตผมปรุงแต่งไปเองครับเพราะกุฏิหลวงพ่อจะไม่มีสีกาขึ้นไปได้เพราะเป็นที่หวงห้ามครับ
    สรุปเรื่องนี้ มีทั้งจริงและไม่จริงครับ สิ่งใดที่ไม่จริง ก็ควรต้องกราบขอขมากรรมครับ สาธุ
     
  13. tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090

    สาธุครับ เรื่องของนิมิตร ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่นเลยครับ
     

แชร์หน้านี้