พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จอนุโมทนา พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จริงแค่ไหน ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ไจโกะ, 7 พฤศจิกายน 2013.

  1. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ผมขอถาม คุณ ซงแทเฮา นิดนึงครับ
    ไม่ได้จะหาเรื่องนะครับแค่อยากรู้เฉยๆ

    คุณบอกว่า
    แต่ทำไมคุณถึง ไม่เห็นด้วยใน กระทู้

    การเกิดเป็นทุกข์แล้ว เหตุใดจึงมีผู้ยินดีกับการเกิด (ตอบโดยสมเด็จพระสังฆราช) - PaLungJit.org

    ล่ะครับ

    เพราะว่าเป็น อุรุเวลาโพสต์เหรอ

    หรือว่า ข้อความนั้นไม่ใช่ข้อความของสมเด็จพระสังฆราช
    แต่เป็นข้อความที่คนอื่นแอบอ้างหรือเปล่าครับ
     
  2. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ลองมาดูคำอธิบาย เต็มๆ จากพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างหลวงพ่อพุธดูนะครับ

    พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านไม่มายุ่งกับใครหรอก เพราะท่านนิพพานไปแล้ว ร่างกายตัวตนท่านก็ไม่มี ท่านจะเอากายที่ไหนมาปรากฏให้เรารู้เราเห็น ท่านจะเอาปากที่ไหนมาคุยให้เราฟัง แต่ที่เป็นไปได้เช่นนั้น เพราะเป็นจิตรู้ของผู้ทำสมาธิภาวนาไปถึงขั้นหนึ่ง ถึงจิตสัมผัสธรรม ซึ่งทำจิตให้เป็นพุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทีนี้จิตดวงนี้ก็แสดงมโนภาพขึ้นมาให้เราเห็นได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเราเรียกว่านิมิตนั่นแหละที่ว่าเป็นนิมิต บางทีเห็นเป็นพระพุทธเจ้า พระสาวกเดินเข้ามาหาเรา หรือบางทีก็มายืนเทศน์สอนเราอยู่ แต่แท้ที่จริงไม่ใช่พระพุทธเจ้าหรือพระสาวกเหล่านั้นเดินมาเทศน์หรือมานั่งเทศน์ให้เราฟัง แต่ว่าจิตรู้ของเราเองที่มันถึงธรรมแล้วนี้ สารพัดที่เขาจะแสดงปรากฏการณ์ให้เรารู้เราเห็น เพื่อความมั่นใจในความรู้ของตัวเอง คล้าย ๆ กับว่าเขาจะสร้างมโนภาพ สร้างนิมิตขึ้นมาเสริมศรัทธาที่เชื่อมั่นอยู่แล้วให้มั่นคงยิ่งขึ้นนิมิตที่ปรากฏแก่ท่านพระอาจารย์มั่นนั้นน่ะ มันเป็นไปได้ในภาษิตที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระวักกลิว่า “โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ” ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นถือว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นถือว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นเราเห็นธรรม ผู้นั้นเชื่อว่าเห็นพระสงฆ์ ผู้ใดเห็นธรรมเห็นพระสงฆ์ ผู้นั้นเชื่อว่าเห็นเราเพราะฉะนั้น ในเมื่อท่านอาจารย์มั่นท่านมีจิตของท่านบรรลุถึงคุณธรรมที่ทำให้จิตเป็นพุทธะ เป็นจิตพุทธะแล้วนี่ ก็สารพัดที่จิตของท่านจะสร้างมโนภาพขึ้นมาให้ท่านรู้ท่านเห็น อันนี้เป็นภูมิรู้ภูมิธรรมของท่านเอง

    ฐานิยตฺเถรวตฺถุ
    เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพพระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
    ณ วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
    ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๓
     
  3. tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ส่วนตัวผมก็ไม่ได้ปักใจเชื่อ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นไปไม่ได้
    ผมจะเชื่อเมื่อดูสมเหตุสมผลเท่านั้น
    อะไรที่ไม่สมเหตุสมผล ผมตัดทิ้งเลย
    แต่ถ้าอะไรที่มันคลุมเครือ มีเหตุผลมาลองรับได้มาก
    ก็ต้องฟังหูไว้หู
    โดยเฉพาะเรื่องที่เล่าสืบๆกันมา
    เราไม่รู้ได้หรอกว่า เรื่องเล่าพวกนั้นถูกบิดเบือน
    หรือถูกเสริมเติมแต่งมาเท่าใด
    หรือใครเป็นคนแต่งใครเป็นคนเล่า
    ใช้พระอริยเจ้าที่เราเคารพนับถือจริงหรือไม่
    ฉะนั้น การกระทำของคนรุ่นหลัง
    อาจทำสร้างความเข้าใจผิดจากเดิมได้
    แม้แต่คำสอนของพุทธองค์ก็ถูกสังคยานามาแล้ว
    ไม่มีใครพูดได้ว่า เป็นธรรมดั้งเดิมเหมือนเมือ ๒๕๐๐ กว่าปีที่แล้ว
    เราต้องเลือกเชื่อด้วยปัญญา อะไรพิสูจน์ได้จงลอง
    อะไรพิสูจน์ไม่ได้ ก็อย่าได้ไปสนใจให้เสียเวลา
    เข้าข่ายธรรมที่เป็นอจินไตย
    อจินไตย ไม่ได้หมายว่าพิสูจน์มิได้
    แต่หมายว่า พยามหาคำตอบในธรรมนั้น ก็ไม่เห็นได้ประโยชน์
    และแม้จะหาคำตอบในธรรมนั้นๆได้แล้ว ก็ยังไม่เห็นประโยชน์

    แต่ไหนๆแล้วก็ขอแสดงความเห็นของผมนะครับ
    ที่หลวงปู่ได้พบ ในกรณีที่เป็นเรื่องจริง
    ผมเชื่อว่าคนเรานั้น เมื่อตายแล้ว ได้ทิ้งความทรงจำ
    หรือพลังงานไว้ในโลก แม้จิตดั้งเดิมจะนิพพานไปแล้ว
    แต่ความทรงจำนั้นจะยังอยู่ คุณธรรมความรู้ต่างๆยังคงอยู่
    แต่คนที่จะมีกำลังจิตไปรับรู้ได้นั้นมีน้อย
    ฉะนั้น ที่หลวงปู่เห็นคือความทรงจำที่เหลืออยู่
    ของพุทธองค์เท่านั้น
    โดยมีพลังงานใดๆเป็นผู้ขับเคลื่อนมิอาจรู้
    ถ้าได้เคยดูหนังหรือภาพยนต์
    น่าจะเคยได้เห็น เรื่องของการก๊อบปี้ความทรงจำก่อนตายไว้
    แล้วให้คอมพิวเตอร์เป็นตัวขับเคลื่อน
    เสมือนตัวตนเจ้าของความทรงจำนั้นยังมีชีวิต
    กรณีของพุทธองค์ก็ประมาณนั้น
    พระพุทธเจ้าที่เจอ ไม่ใช่ของแท้
    แต่ธรรมะที่ได้ออกมา เป็นของแท้
    พุทธองค์บอกว่า
    "เมื่อเราปรินิพพานไปแล้ว พระธรรมจักเป็นศาสดาแทนเรา"
    พระธรรมในตำราก็ส่วนหนึ่ง เป็นรูปธรรม
    พระธรรมในโลกแห่งจิตแห่งนิมิตก็ส่วนหนึ่ง เป็นนามธรรม
    เพียงแต่นามธรรม ต้องผ่านจิตสังขารปรุงแต่ง
    ก็เลยได้นิมิตออกมาเสมือนพูดคุยกันนั่นเอง
     
  4. ซงแทฮา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +386
    ผมจำไม่ได้แล้วครับเพราะมันตั้งแต่วันที่10-01-2013 ชาติไหนละเนี่ย โอ้ยังจำได้อีกนะครับ เป็นผมยังลืมไปและ


    ถ้าไม่ใช่เพราะแหย่อะไรอุรุเวลา ก็อาจจะอนุโมทนาแต่กดผิดเป็นไม่เห็นด้วยแทนแล้วไม่ได้เข้ามาดูต่อ สองอย่างนี้แหละครับ

    อ้อ ..รุและมันเป็นกรณีที่อุรุเวลาชอบไปเอาข้อความของพระเจ้ามาสนองอัตตาตัวเองในการโต้เถียงกับคนอื่นครับ ไม่ก็บิดเบือนประเด็นชื่อข้อความให้เกิดการโต้เถียงกันในเว็ป แต่ตัวเองไม่มีภูมิธรรมอะไรกับเขาเวลาเถียงกับใครก็ชอบไปลอกข้อความคนอื่นมาส่วนใหญ่จะไม่ตรงประเด็นพอถามว่า ยังไงก็จะ อยู่ในคำของพระอ.แล้วสรุปเองสิ

    ทำนองประชดว่า ดีแต่ก็อปปี้วาง แล้วอวดว่ารู้ธรรมมาก ไม่เขียงแสดงภูมิเองว้าไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับข้อความแต่ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมคนโพสต์น่าจะประเด็นนี้เหมือนเคยบอกเจ้าตัวไปแล้วว่ากดทำไม เก็ทยังครับ [.10/COLOR]
     
  5. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ok get แล้วครับ
    ตอนแรกก็ งง ว่าทำไมไม่เห็นด้วยกับข้อความของสมเด็จพระสังฆราช (แต่ในกระทู้นี้บอกว่านับถือพระสังฆราช)
     
  6. tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,649
    ค่าพลัง:
    +20,324
    นับเป็นจำนวนหลายครั้งของนิมิต ที่เห็นนิมิต คือเห็นว่านิมิตนั้นปรากฏจริง และหลายครั้งสำหรับการปฏิบัติทางจิตของกระผม ที่ปรากฏว่า นิมิตที่ปรากฏนั้น เป็นของจริง
    ดังนี้เช่น

    ครั้งหนึ่ง มีนิมิต ปรากฏเห็นภริยาเก่า เธอมาปรากฏ พร้อมด้วย กระดูกและของใช้ของ อดีตภริยาเก่า รวมทั้งแหวนพยานาคราชสำฤทธิ์ ที่กระผมมอบให้ไว้ จนในที่สุดกระผมก็จะได้ไปพบกับชาวบ้านเมืองโบราณที่ศรีจำปา และได้นำกระดูกและของใช้ของเธอขึ้นมา และเก็บแหวนดังกล่าวกลับคืนมา ทุกอย่างเป็นความจริง

    ครั้งหนึ่งเคยนิมิต เห็นพระประธานในอุโบสถและของต่างๆในพระอุโอบถส์ โดยที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และด้วยความอยากรู้นิมิตว่าจริงหรือไม่ จึงได้ขออนุญาตุเข้าไปตรวจสอบดู จึงพบว่า ทุกอย่างเป็นจริงเหมือนในนิมิต

    ครั้งหนึ่งเคย ปรากฏนิมิต และครูอาจารย์สั่งสอนให้ทำพิธีอัญเชิญพระพุทธรูป ซึ่งฝัง
    อยู่ใต้ดินมานานประมาณ700กว่าปีอยู่ในป่าหลังวัด สามารถขุดหาพระได้รวดเร็ว ภายในเวลา15นาที ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ชาวบ้านพยายามขุดด้วยรถแม็คโคเป็นพื้นที่ลึกและกว้างแต่ไม่สามารถขุดได้เจอ แต่กระผมทำพิธีตามที่ครูอาจารย์บอก และใช้เพียงจอบเสียมใช้คนเพียง7คนรวมกระผม ก็สามารถทำได้สำเร็จง่ายดาย

    ครั้งหนึ่งเคยนิมิต เห็นชายแก่ที่เสียชีวิต ซึ่งกระผมไม่รู้จักมาก่อน แต่สามารถบอกได้ว่า เขาหน้าตาเป็นอย่างไร รูปร่างสีผิวทรงผม และการตายของเขาเหล่านั้นตายเพราะอะไร ป่วยเป็นอะไรตาย ในชีวิตของชายคนนั้นทำกรรมอะไรไว้

    หลายครั้งที่ปรากฏนิมิตเรื่องคนที่ตายไปแล้วและเทพเทวดาและเจ้าที่ ได้ตรงตามที่เป็นจริง โดยไม่ทราบอะไรใดๆมาก่อน

    หลายครั้งที่สามารถเห็นนิมิต บอกได้ว่า คนที่หายไปอยู่ที่ไหนและรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร รู้ดีว่าเขามีเคราะห์กรรมอย่างไรแล้วจะหมดกรรมส่วนนั้นลงอย่างไร

    หลายครั้งที่สามารถเห็นนิมิต บอกได้ว่า คนดังกล่าวหมดอายุไขลงแล้ว และเขาจะต้องจากไปในเวลาอันใกล้ ซึ่งก็เป็นไปตามนิมิตที่ปรากฏ

    หลายครั้งที่นิมิตเห็นเลข และเลขหวยที่ออกก็ตรงตามที่นิมิตเห็น ทั้งสามตัวบ้าง สองตัวบ้าง แต่ไม่เคยสนใจ

    นี่เป็นส่วนหนึ่ง ที่นิมิต เห็นจริงและเป็นจริงของมัน
    นอกเหนือจากนี้ ยังมีนิมิตที่เห็นจริงและไม่เป็นจริงเหมือนที่นิมิตปรากฏก็มีหลายครั้งเช่นกันครับ

    อย่างที่กระผมกล่าวไว้ หากพิจารณาให้ดี ท่านก็จะทราบดีว่า นิมิตที่เห็นจริง มีทั้งจริงและไม่จริง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย และความสะอาดบริสุทธิ์ของจิต

    ดังนั้นจึงไม่ประมาทและควรปล่อยวางในนิมิตทั้งหลายที่ปรากฏ มันจะเกิดก็เรื่องของมัน มันไม่ปรากฏเกิดก็เรื่องของมัน นิมิตมันเกิดแล้วจะจริงก็เรื่องของมัน ไม่จริงก็เรื่องของมัน ไม่เกี่ยวกับจิต แม้มันจะปรุงแต่งหรือไม่ปรุงแต่งก็เรื่องของมัน ไม่เกี่ยวกับจิต แค่เรารักษาจิตเราไว้ไม่ให้ไหลร่วมไปกับสิ่งอื่นใด รักษาจิตไว้ให้มีสภาพเป็นกลางว่างเป็นธรรมชาติสงบนิ่งอยู่อย่างนี้ ก็พอครับ สาธุ

     
  7. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ รณจักร นิมิตนั้น หลายหลายยิ่งนัก ยกตัวอย่างเช่นช้างปาริไลยะกะนั้นถ้าถามว่า มาเกิดเป็นใครในยุคปัจจุบัน ก็จะได้คำตอบที่หลากหลายไม่ซ้ำกันเลย ทั้งๆ ที่บุคคลเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ร่วมกันในช่วงเวลาปัจจุบันด้วยซ้ำ เท่าที่สรุปมีดังนี้1. ครูบาศรีวิชัย (หนังสือประวัติหลวงปู่จาม ท่านเล่าว่าฟังจากคำหลวงปู่ตื้อ )2. หลวงปู่อ่ำ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำบอก)3. ในหลวงองค์ปัจจุบัน ร.9 (หลวงปู่สิมบอก)4. เป็นเทวดาในสวรรค์ (นิมิตจากคุณ tjs)5. ยังมีอีกหลายคนที่อ้างว่าตนเองเคยเกิดเป็นช้างปาริไลยกะ6. มีอีกหลายคนที่ถูกพยาการณ์โดยอาจารย์นิรนามว่าเคยเกิดเป็นช้างปาริไลยกะลองอ่านดูครับโพธิสัตว์องค์ไหนคือ ช้างปาลิไลย์ทำไมหลวงพ่อฤาษีลาพุทธภูมิ

    นี่เป็นคงเป็นอีกตัวอย่างที่ คุณซงแทเฮา บอก

    ประเภท เนื้อความเรื่องมะม่วงแต่กลับแสดงความเห็นเป็นเรื่องอวกาศ(แบบไม่เกี่ยวอะไรกันเลย)

    ถ้า ผม นั่งสมาธิ ใช้กำลังสมาธิของตนเองแล้วทราบว่า ตัวผมเองเคยเกิดเป็น ช้างปาริไลยกะ ผมควรจะเชื่อ และผู้อื่นก็ควรจะเชื่อด้วยใช่ไหม อุรุเวลา?

    เพราะผมทำด้วยกำลังสมาธิตัวเองไม่ได้ลอกตำรา หรืออ้างคำพูดผู้อื่น
     
  8. tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    สาธุครับ

    สำหรับผมนะครับ คิดว่า
    นิมิตรเป็นสิ่งที่เห็นจริง แต่บุคคลหรือสิ่งที่ถูกเห็นนั้น จริงหรือไม่จริง
    พิสูจน์ไปก็เสียเวลา เห็นจะหาประโยชน์มิได้
    ดังนั้นสิ่งที่ได้เห็นไม่สำคัญไปกว่า สิ่งที่ได้รู้
    คือธรรมที่ได้รับมา ถ้าสมเหตุสมผล เป็นความจริง
    ไม่ว่าจะมาจากพระพุทธเจ้าจริงหรือพระพุทธเจ้าที่ปรุงแต่ง
    ถ้าธรรมนั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
    นำมาใช้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ได้จริง
    ก็ควรนำมาปฏิบัติ
     
  9. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ถูกต้องครับ ที่ว่าอะไรที่นำมาปฏิบัติให้พ้นทุกข์ตามหลักพุทธศาสนาได้ก็ควรทำ

    เพียงแต่การที่ครูบาอาจารย์ อย่างหลวงพ่อพุธท่านชี้แจงว่าอันไหนจริงอันไหนไม่จริง เพื่อเป็นการรักษา พระสัทธรรม ไม่ให้ถูกบิดเบือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อ่านภายหลังแล้วเสี่ยงต่อการเข้าใจผิด นำไปสู่ความเป็นมิจฉาทิฏฐิพวกสัสสตทิฏฐิ ได้ ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องอธิบายชี้แจงแจ้งว่าอะไรถูกอะไรผิด

    นอกจากนี้ยังเป็นการแก้ไขข้อสงสัย สำหรับผู้ศึกษาธรรมะ ไม่ให้ลุกลามไปสู่การปรามาสครูบาอาจารย์ อย่างเช่น ผม เป็นต้น ที่อ่านเรื่องพระพุทธเจ้ามาหาหลวงปู่มั่นครั้งแรกแล้ว ก็รู้สึกแปลกๆ เพราะขัดกับพระพุทธพจน์ แต่ก็ยังไม่ถึงกับปรามาสหลวงปู่มั่นกับหลวงตามหาบัวที่นำเรื่องนี้มาเขียน (แต่อาจจะมีบางคนที่ด่วนสรุปและปรามาสไปเลยก็คงมีเหมือนกัน) ถ้าไม่ได้หลวงพ่อพุธ ช่วยชี้แจงแถลงไขแล้วไซร้ ต่อไปผมอาจจะกลายเป็นผู้ปรามาสพระปฏิบัติดีไปแล้วก็ได้ ต้องกราบหลวงพ่อพุธด้วยความเคารพที่อธิบายให้ผมได้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง _/|\_

    และเมื่อเข้าใจแล้วผมจึงมาอธิบายข้อมูลที่ผมทราบว่าถูกต้องเป็นธรรมทาน เพื่อแก้ความสงสัย อย่างเจ้าของกระทู้ และคนอื่นๆ ไม่ให้ลุกลาม ไปสู่ความเป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือ นำไปสู่การปรามาสครูบาอาจารย์

    บางอย่างถ้า ผิดจากที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ก็ต้องชี้แจงว่า นี่เป็นสิ่งที่ผิด เพื่อรักษาพระสัทธรรมไว้ให้คงอยู่ตราบนานเท่านาน

    เพราะการที่พระสัทธรรมจะอยู่ได้นานนั้น เราต้องไม่บัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติไว้ รวมถึงไม่ล้มล้างสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้แล้วครับ
     
  10. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    มันเป็นแค่ความเชื่อของคนเท่านั้นเอง คนที่ได้ฟังก็มีทั้งคนเชื่อและคนไม่เชื่อและจะบังคับใครให้เชื่อก็ไม่ได้ ผู้ที่บรรลุธรรมเห็นอดีตชาติเขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้ รู้อดีต รู้อนาคต ไม่สำคัญเท่ากับรู้ปัจจุบัน รู้อดีตว่าเคยเกิดเป็นช้างปาริไลยกะ แต่ชาติปัจจุบันตกนรกแบบนี้อย่าไปรู้ดีกว่า สำคัญตนว่า "บรรลุธรรมโดยไม่ได้ฌาน" ตัวเองไม่สำนึกบุญคุณครูบาอาจารย์ อดอ้างยกตนว่าทำสมาธิได้ด้วยตนเองไม่ได้ลอกตำรา หรืออ้างคำพูดผู้อื่น ลืมไปแล้วหรือว่าชาตินี้เกิดมาได้เพราะพ่อแม่ให้ข้าวน้ำ ครูบาอาจารย์ให้ความรู้ ใช้ว่าคนเราจะเกิดมาไม่ต้องมีครูบาอาจารย์แล้วสามารถบรรลุธรรมได้ด้วยตัวเอง มันก็เรียนมาจากครูบาอาจารย์กันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดาองค์เอก พระสงฆ์รองลงมาเป็นผู้ประกาศพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า คุณอ้างคำตัวเองไม่อ้างคำครูบาอาจารย์ กูเก่งกว่ากูรู้เอง "อย่าทำตนเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณท่าน"
     
  11. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    จะว่าไป อุรุเวลานี่ก็แปลกนะ
    พออ้างหลักฐานว่า ท่านใดกล่าวไว้ว่า ใครเป็นช้างปาริไลยกะมาเกิด
    ก็ตอบว่า ความรู้บางอย่าง อ่านไม่ได้จากตำรา ไม่สามารถฟังจากครูบาอาจารย์ ต้องทำเองปฏิบัติเองรู้เอง

    พอสมมุติ บอกว่า ทำเอง เห็นเอง ไม่ได้อ้างตำรา ไม่ได้ฟัง ไม่ได้ copy จากครูบาอาจารย์ ก็หาว่า เนรคุณ ไม่รู้คุณของครูบาอาจารย์ บ้าง หาว่าอวดอ้างบ้าง

    อย่างนี้ถ้าไม่เรียกปลิ้นปล้อนกลับกลอก ตลบตะแลง แล้วจะให้เรียกว่าอะไรดี?

    หรือไม่ก็คุณอุรุเวลาอ่านไม่ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียด
    ผมขอบอกชัดๆ อีกทีนะครับอย่ากล่าวตู่ผมด้วยถ้อยคำที่ไม่จริง
    - ผมไม่เคยบอกว่าตัวผมบรรลุธรรมโดยไม่ใช้ฌาน
    - ผมอ้างอิงหลักฐานจากพระไตรปิฎก และอรรถกถาจารย์เป็นหลัก
    เสมอ รวมถึง ครูบาอาจารย์ร่วมสมัย เท่าที่มีหลักฐานว่าท่านกล่าวอะไรไว้จริง (ดูจากโพสต์ที่ผ่านมาได้ เพียงแต่บางครั้งจำเป็นต้องสรุป เพื่อให้ตรงประเด็น และไม่ยาวเกินไป)
    - เรื่องการปฏิบัตินั้นระหว่างปฏิบัติไม่จำเป็นต้องได้ฌาน แต่ขณะบรรลุธรรมจิตรวมเป็นฌานเแน่นอน แบบนี้ผมบอกตรงไหนว่าบรรลุธรรมไม่ใช้ฌาน? ผมบอกเสมอว่าจิตรวมเป็นฌานขณะบรรลุทุกคน
     
  12. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    เรื่องที่ผมบอกนี้ ผมก็นำมาจากพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก
    คุณอุรุเวลา อย่าเอาความเชื่อตัวเองมาตัดสินครับ อ่านหลักฐานความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเสียบ้าง

    สิ่งที่คุณไม่รู้ อย่าคิดว่าสิ่งนั้นไม่มีครับ
    พระอริยเจ้าที่บรรลุธรรม โดยถึงฌานแค่ขณะบรรลุ แต่ระหว่างปฏิบัติไม่ได้ฌาน มีเยอะเป็นส่วนใหญ่ของผู้บรรลุธรรมด้วยซ้ำ

    สุกขวิปัสสกบุคคล ผู้มีวิปัสสนาญาณอันแห้งแล้งจากโลกียฌาน เป็นผู้ที่ไม่เคยได้เจริญสมถภาวนาจนบรรลุถึงฌานธรรมเลย บุคคลจำพวกนี้เวลาเจริญวิปัสสนาภาวนา จึงไม่สามารถกำหนดเพ่งฌานได้ ได้แต่กำหนดเพ่งรูปนามที่เป็นกามธรรมเพียงอย่างเดียว ถึงกระนั้นเมื่อมัคคจิตเกิดขึ้น ก็ย่อม บริบูรณ์ และพร้อมมูล ด้วยองค์ฌานทั้ง ๕ เหตุนี้จึงจัดว่าเป็น ปฐมฌานโสดาปัตติมัคคจิตเสมอไปสกทาคามิมัคค อนาคามิมัคค อรหัตตมัคค ของสุกขวิปัสสกบุคคล ก็จัดเข้าเป็นปฐมฌานด้วยกันทั้งสิ้นดังมีหลักฐานใน อัฏฐสาลินีอรรถกถา แสดงไว้ว่า

    วิปสฺสนานิยาเมน สุกฺขวิปสฺสกสฺส อุปฺปนฺนมคฺโคปิ ปฐมชฺฌานิโก โหติ ฯ
    ตามธรรมเนียมของวิปัสสนา มีหลักอยู่ว่า มัคคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ที่เจริญวิปัสสนาภาวนาล้วน ๆ ก็ย่อมประกอบด้วยปฐมฌาน

    ส่วนใครที่คิดว่า คนที่ไม่ได้ฌาน แล้ว ทำวิปัสสนา เป็นจำพวกที่มีน้อย มีไม่กี่คน ทำได้ยาก ต้องดูหลักฐานจากตำราดูนะครับ ในพระไตรปิฎกระบุว่า สมัยพุทธกาล พระอรหันต์ประเภทปัญญาวิมุติ หรือ สุขวิปัสสกะ (ไม่ได้ทำฌานในขณะปฏิบัติ ถึงฌานแค่ขณะบรรลุธรรมเท่านั้น) มีถึง 64% เลยทีเดียว

    ๑๑. พระอริยที่เป็นสุกขวิปัสสกบุคคล เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ปัญญาวิมุตติ นั้นมีจำนวนมากกว่า พระอริยที่เป็นฌานลาภีบุคคล เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เจโตวิมุตติ นั้นมากมาย ดังใน สังยุตตพระบาลี แสดงไว้ว่า

    อิเมสํ หิ สารีปุตฺต ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ สฎฺฐิ ภิกฺขู เตวิชฺชา สฏฺฐิ ภิกขู ฉฬาภิญฺญา สฏฺฐิ ภิกฺขู อุภโตภาควิมุตฺตา อถ อิตเร ปญฺญาวิมุตฺตา

    ดูกร สารีบุตร ในพระภิกษุ ๕๐๐ องค์, ๖๐ องค์ เป็นเตวิชชบุคคล, ๖๐ องค์เป็นฉฬาภิญญาบุคคล, ๖๐ องค์เป็นอุภโตภาควิมุตติบุคคล เหลือนอกนั้นทั้งหมดเป็นปัญญาวิมุตติบุคคลดังนั้นจึงได้กล่าวว่า ผู้ที่ก้าวขึ้นสู่มัคคผลเพราะเห็นอนิจจัง และเพราะเห็นอนัตตามีมากกว่าผู้ที่เห็นทุกขัง เพราะผู้ที่เห็นทุกขังเป็นผู้ที่บุพพาธิการแต่ปางก่อนยิ่งด้วยสมาธิ

    http://www.reocities.com/SouthBeach/terrace/4587/9page131-140.htm

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย . . . สัตว์ที่กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์แล้วได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์แล้ว ไม่ได้ สมาธิ ไม่ได้เอกัคคตาจิตมากกว่าโดยแท้

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=1003&Z=1058

    [๑๓๗] . . . บุคคลผู้ได้ปัญญาเห็นแจ้งในธรรม กล่าวคืออธิปัญญา แต่ไม่ได้เจโตสมถะเป็นภายใน เป็นไฉน

    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้โลกุตตรมรรคหรือโลกุตตรผล แต่ไม่ได้สมาบัติที่สหรคตด้วยรูป หรือสหรคตด้วยอรูป บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า เป็นเป็นผู้ได้ปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรมกล่าวคืออธิปัญญา แต่ไม่ได้เจโตสมถะเป็นภายใน

    http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=36&A=3659&Z=4544
     
  13. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    แล้วนิมิตที่ไม่ตรง พอจะเล่าสู่กันฟังเป็นอุทธาหรณ์กับนักปฏิบัติได้บ้างไหมครับ คุณtjs

    เท่าผมที่จำได้ว่าไม่ตรงกับพระไตรปิฎกและอรรถกถาก็มีเรื่อง
    ประวัติช้างปาริไลยกะ และก็เรื่อง พระอนาคามีที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
     
  14. จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    อันที่จริง หลวงตามหาบัว ท่านตอบไว้ล่วงหน้านานมากๆ แล้วนะครับ..
    ตามนี้่..

    ประวัติ
    ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

    ตอนที่ ๑๓
    โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน

    แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี

    หมายเหตุของ webmaster : ข้อความทั้งหมดได้ Download มาจาก www.luangta.com โดยไม่ได้แก้ไขข้อความหรือตัดทอน เว้นแต่มีการแก้ไขการพิมพ์ผิดอยู่บ้าง ๒ - ๓ คำ แต่ได้นำมาจัดวรรคตอนและย่อหน้าใหม่ เพื่อให้อ่านได้ง่าย และสบายตาขึ้น รวมทั้ง คำนำหัวข้อต่าง ๆ ก็ได้จัดทำเพิ่มขึ้น เพื่อให้ในแต่ละหน้าดูโปร่งขึ้น ผู้ดำเนินการขอกราบเท้าขอขมาท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ไว้ ณ ที่นี้ หากมีข้อผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้น

    ปัญหา ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช

    จากหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับลงวันที่ 23 มี.ค.2515

    ได้มีท่านผู้มีใจกรุณามอบหนังสือให้ผมเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ซึ่งท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด อุดรธานี เป็นผู้เรียบเรียง หนังสือเล่มนี้ผมเข้าใจว่าได้พิมพ์แจกไปแล้วเป็นจำนวนมาก เล่มที่ผมได้รับมานี้เป็นเล่มที่เพิ่งได้พิมพ์ขึ้นใหม่ และผมก็เพิ่งได้เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ในคราวนี้ ที่ได้นำเอาหนังสือเรื่องนี้มาเขียนถึงในคอลัมน์นี้ ก็เพราะเห็นว่าหนังสือเล่มเป็นหนังสือที่น่าอ่านอยู่มาก ใครที่ยังไม่เคยอ่านก็ควรจะได้หามาอ่านเสีย ที่ว่าเป็นหนังสือที่น่าอ่านนั้น ผมหมายถึงวิธีเขียนหนังสือของท่านอาจารย์พระมหาบัว ผู้เรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ขึ้นเป็นสำคัญ เมื่อจับหนังสือเล่มนี้ขึ้นอ่าน ก็สังเกตได้ทันทีว่าท่านผู้เรียบเรียง ท่านได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นตามสบายของท่าน

    เมื่อผู้เขียนหนังสือเขียนตามสบาย ใจของคนอ่านก็เกิดความรู้สึกว่าตามสบายคล้อยตามไป และอ่านหนังสือนั้นตามสบายเช่นเดียวกัน เมื่อเกิดความรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้อ่านได้ตามสบาย แต่ในขั้นแรกแล้ว ผมเองก็เริ่มอ่านตามสบายเรื่อย ๆ ไป และถ้าไม่มีธุระบางอย่างมาขัดข้องเสียแล้วก็คิดว่า คงจะได้อ่านเรื่อยไปจนจบในรวดเดียวนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่ออ่านจบแล้วก็เกิดความนับถือเลื่อมใสในท่านเจ้าของประวัติ คือพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระเป็นอย่างยิ่ง ในการเขียนประวัติของพระอาจารย์มั่นนั้น ท่านอาจารย์พระมหาบัวได้เขียนอย่างตามสบายของท่านจริง ๆ กล่าวคือนึกถึงเรื่องอะไรออก ท่านก็เขียนลงไว้ มิได้เขียนประวัติอย่างคนอื่นเขียนตามธรรมดา แต่ก็มีการสอดแทรกธรรมะที่พระอาจารย์มั่นได้สั่งสอนสานุศิษย์ของท่านไว้ ในหลายที่หลายแห่งโดยตลอด นอกจากนั้นก็ยังได้เขียนถึงเหตุการณ์อันน่าสนใจ น่าตื่นเต้นอีกมากมายหลายอย่างในชีวิตของพระอาจารย์มั่น ลงไว้เป็นระยะ ๆ ไป

    การอ่านหนังสือธรรมะล้วน ๆ นั้น มักจะเป็นงานหนักของคนส่วนมาก เพราะต้องใช้สติปัญญามากอยู่ในการอ่าน เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันถูกต้อง และสติปัญญานั้นเมื่อใช้มากเข้า ก็เกิดความเหน็ดเหนื่อยทางสมองขึ้นได้ การอ่านหนังสือธรรมะจึงอ่านได้รวดเดียวจบไม่ง่าย เฉพาะตัวผมเองไม่เคยปรากฏว่าทำได้ แต่หนังสือที่ท่านอาจารย์พระมหาบัวแต่งขึ้นนี้ ท่านมีวิธีเขียนของท่านจากข้อความอันเป็นธรรมะไปยังข้อความเกี่ยวกับเหตุการณ์อื่นที่น่าตื่นเต้นบ้าง น่าสนใจบ้าง จนความเหน็ดเหนื่อยในการอ่านนั้นไม่เกิดขึ้น เพราะเมื่อเหนื่อยธรรมะแล้วก็มีเรื่องอื่นที่เรียกร้องความสนใจในทางอื่นมาให้อ่านต่อไป ในจังหวะที่พอดีทุกครั้งไป เป็นการพักสมองไปในตัว

    เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบลงแล้ว ก็เกิดความรู้สึกขึ้นในใจว่า ได้อ่านชีวิตของนักต่อสู้ที่มีความแข็งแกร่งและมีกำลังมากคนหนึ่ง รูปเรื่องที่เกิดขึ้นในใจนั้น เป็นเรื่องของการต่อสู้ระหว่างพระอาจารย์มั่นกับความโง่หลงงมงายของมนุษย์ ข้อความที่ท่านอาจารย์พระมหาบัวเก็บเอามาลงไว้ในหนังสือ จากเทศนาของพระอาจารย์มั่นในหลายที่หลายแห่งนั้นแสดงให้เห็นได้ชัดว่า ท่านต้องทำการต่อสู้อย่างหนักกับกิเลสตัณหาของมนุษย์ และความโง่หลงงมงายของมนุษย์ หรือมิฉะนั้นการโต้ตอบของท่านกับผู้ที่มาตั้งปัญหาถามท่านต่าง ๆ นั้น ก็แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้นั้นเช่นเดียวกัน

    เป็นต้นว่า ท่านเทศน์สั่งสอนพระภิกษุสงฆ์ผู้เป็นสานุศิษย์ของท่านว่า อย่านึกว่าเมื่อได้มาบวชแล้ว จะต้องเป็นคนดีที่อยู่ในศีลธรรมเสมอไป เพราะบาปนั้นทำได้ถึงสามทาง คือทางกายกรรม ทางวจีกรรม และทางมโนกรรม ถึงแม้ว่าพระภิกษุสงฆ์จะไม่ทำบาปด้วยกายและด้วยวาจา ก็ยังไม่แน่นักว่าพระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นจะเป็นผู้พ้นจากบาปแล้วหรือไม่ เพราะอาจยังทำบาปทางใจอยู่ก็ได้ และตราบใดที่ยังทำบาปทางใจอยู่แล้ว กลับไปนึกเสียว่าตนเป็นผู้ที่อยู่ในศีลธรรมอันดีแล้ว พระเช่นนั้นจะยิ่งสั่งสมบาปให้มากหนักขึ้นไปอีก ฟังดูแล้วก็จับใจ

    เมื่อท่านจาริกไปถึงเมืองนครราชสีมา มีผู้มาถามท่านว่า ในการที่ท่านมายังนครราชสีมาคราวนี้ ท่านมีความประสงค์ที่จะมาแสวงหามรรคผลอันใด ท่านตอบว่าอาตมาเป็นคนไม่หิวเสียแล้ว ธรรมดาของคนไม่หิวก็ย่อมไม่แสวงหาอันใดทั้งสิ้น ฟังแล้วก็สะใจดีพิลึก

    ทั้งที่หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อ่านสนุกอ่านเพลิน แต่ขณะที่อ่านนั้นก็เกิดความกังวลขึ้นเรื่อย ๆ ท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระนั้น ท่านเป็นอาจารย์ทางวิปัสสนา ซึ่งมีผู้เคารพนับถือยกย่องมาก เมื่อได้อ่านประวัติของท่านก็เกิดความสนใจ จนกลายเป็นความร้อนใจที่จะได้ทราบถึงการปฏิบัติของท่านในทางวิปัสสนา แต่หนังสือเล่มนี้ก็มิได้บอกไว้ คงบอกแต่วัตรปฏิบัติของท่าน เช่นท่านนั่งสมาธิเวลาใด เดินจงกรมเวลาใด ฉันอาหารจากบาตรเป็นประจำและฉันวันละหน เหล่านี้เท่านั้น นอกจากนั้นก็มีเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางของท่านเพื่อไปพำนักอยู่ในที่วิเวกตามป่าเขาหรือในถ้ำ ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น น่าสนใจดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

    โดยเฉพาะเรื่องระหว่างพระอาจารย์มั่น และสัตว์ป่าต่าง ๆ ที่ท่านได้พบเห็น เช่น เสือบ้าง ฝูงลิงบ้าง และช้างบ้างนั้น แสดงให้เห็นเมตตาอันมีต่อสัตว์ทั้งปวงของพระพุทธศาสนาอย่างเด่นชัด เมตตาของพระอาจารย์มั่นอันมีต่อสัตว์ทั้งปวงนี้ มาปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นในตอนท้ายของหนังสือ พระอาจารย์มั่นไปอาพาธหนักอยู่ที่บ้านผือ อันเป็นบ้านป่านอกอำเภอเมืองสกลนคร เมื่อท่านทราบแน่ว่าท่านจะต้องถึงกาลกิริยาในครั้งนั้น ท่านก็เร่งเร้าให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายของท่าน พาตัวท่านไปยังตัวจังหวัดสกลนคร เพื่อที่จะได้มรณภาพที่นั้น ท่านได้กล่าวว่า หากท่านมรณภาพลงที่บ้านผือ อันเป็นละแวกที่ไม่มีตลาดขายอาหารแล้ว ผู้คนที่มาเคารพศพท่านเป็นจำนวนมากมาย เมื่อท่านมรณภาพแล้วก็จะต้องซื้ออาหารจากบ้านผือนั้นเอง ทำให้ชาวบ้านต้องฆ่าสัตว์มาขายเป็นอาหารเพิ่มขึ้นกว่าปกติ ท่านไม่สามารถที่จะทนดูชีวิตสัตว์จำนวนมากมายต้องถูกทำลายลงเพราะท่านมรณภาพแต่องค์เดียวได้ จึงขอให้ท่านได้ไปมรณภาพเสียที่ตัวจังหวัดสกลนคร เพราะที่นั่นมีตลาดสดพอที่ผู้คนจะซื้ออาหารได้สะดวก

    เรื่องประทับใจต่าง ๆ เหล่านี้มีมากเหลือเกินในหนังสือเล่มนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ความกังวลใจเพราะอยากจะได้สดับธรรมขั้นสูงกว่านั้นก็ยังมีอยู่ ในการเขียนหนังสือเล่มนี้ท่านอาจารย์พระมหาบัว เขียนด้วยความเคารพเลื่อมใส และความกตัญญูต่อพระอาจารย์มั่นผู้เป็นอาจารย์ของท่าน เมื่ออ่านแล้วก็เกิดความเข้าใจขึ้นว่า เพราะเหตุใดในพระไตรปิฎกซึ่งได้รจนาขึ้นภายหลังพระพุทธเจ้านิพพานแล้วหลายร้อยปี จึงเต็มไปด้วยปาฏิหาริย์ต่าง ๆ และเรื่องที่คนในสมัยปัจจุบันอาจเห็นว่าเหลือเชื่อ

    ท่านอาจารย์พระมหาบัวท่านเขียนไว้ว่า เมื่อครั้งพระอาจารย์มั่นออกไปอยู่ตามป่าตามเขาหรืออยู่ในถ้ำที่จังหวัดเชียงใหม่นั้น มีพระอินทร์และเทวดาทั้งหลาย คือเทวดาเบื้องล่างและเบื้องบน ตลอดจนพญานาคมาฟังธรรมจากท่านเป็นเนืองนิจ เทวดาที่มาจากประเทศเยอรมันก็มี ครั้งหนึ่งเทวดาที่มาฟังธรรมจากพระอาจารย์มั่นนั้นมีจำนวนมากจนท่านต้องกำหนดตารางสอน แบ่งเวลาให้เทวดาฟังธรรมเป็นพวก ๆ ไป เท่าที่ทราบจากหนังสือเล่มนี้ เทวดาที่จังหวัดสกลนครมีน้อยกว่าเทวดาที่เชียงใหม่ ขอให้ชาวจังหวัดสกลนครนึกเสียว่าเป็นกรรมก็แล้วกัน อย่าน้อยอกน้อยใจไปเลย

    แต่ในเรื่องนี้ก็มีสิ่งที่น่าสังเกตอยู่ว่า ในหนังสือเล่มนี้เองปรากฏว่า พระอาจารย์มั่นท่านตอบในเรื่องบางเรื่องอย่างมีเหตุผลดีที่สุด เป็นต้นว่ามีผู้มาถามท่านว่าผีมีจริงไหม? ท่านก็ตอบว่า ผีที่ทำให้คนเกิดความกลัวและเป็นทุกข์กันนั้น เป็นผีที่คนคิดขึ้นที่ใจว่าผีมีอยู่ที่นั้นบ้างที่นี้บ้าง ผีจะมาทำลายบ้างต่างหาก จึงพาให้เกิดความกลัวและเป็นทุกข์ขึ้นมา ถ้าอยู่ธรรมดาไม่ก่อเรื่องผีขึ้นที่ใจ ก็ไม่เกิดความกลัวและไม่เป็นทุกข์ ฉะนั้นผีจึงเกิดขึ้นจากการก่อเรื่องของผู้กลัวผีขึ้นที่ใจ มากกว่าผีจะมาจากที่อื่น หรือเมื่อมีผู้มาตั้งปัญหาถามท่านว่ามนุษย์เกิดมาจากไหน? ท่านตอบว่ามนุษย์เราต่างก็มีพ่อมีแม่เป็นแดนเกิด แม้ผู้ถามก็มิได้เกิดจากโพรงไม้ แต่มีพ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูมาเหมือนกันจึงไม่ควรถาม ถ้าจะตอบว่ามนุษย์เกิดจากอวิชชาตัณหาก็ยิ่งจะมืดมิดปิดตายิ่งกว่าไม่ตอบเป็นไหน ๆ เพราะไม่เคยรู้ว่าอวิชชาตัณหาคืออะไร ทั้งที่มีอยู่กับตนทุกคน เว้นพระอรหันต์เท่านั้น

    พระอาจารย์มั่นท่านได้ถือโอกาสในการตอบปัญหาเหล่านี้ แสดงธรรมต่อไปเพื่อให้มนุษย์เกิดปัญญา ลักษณะเช่นนี้ของพระอาจารย์มั่นดูเหมือนจะมีคุณวิเศษในสายตาของผมยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เรื่องเทวดามาฟังธรรมนั้นก็ช่างเถิด เพราะในพระไตรปิฎกก็มีพูดถึงบ่อย ๆ ว่าเทวดามาฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ในอรรถกถาพระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า เทวดาลงมาฟังธรรมจากพระอรหันต์จึงมิใช่เรื่องแปลกประหลาด เรื่องที่แปลกประหลาดอย่างยิ่งนั้นก็คือในหนังสือเล่มนี้บอกว่า เมื่อพระอาจารย์มั่นอยู่ในถ้ำ มีพระอรหันต์หลายองค์มาสนทนาธรรมกับท่าน นอกจากสนทนาธรรมแล้ว พระอรหันต์ยังแสดงท่านิพพานของแต่ละองค์ให้พระอาจารย์มั่นดูอีกด้วย เมื่ออ่านถึงตอนนี้แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจนั้นเกินไปกว่าความกังวล แต่เป็นความเดือดร้อนทีเดียว พระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้ว มาสนทนาธรรมกับคนที่ยังไม่นิพพาน แล้วแสดงท่านิพพานให้ดูนั้น ไม่มีในพระบาลีเป็นแน่นอนครับ

    เมื่ออุปสีวมานพมาทูลถามปัญหาพระพุทธเจ้าเรื่องพระอรหันต์นั้น อุปสีวมานพได้ทูลถามว่าที่ว่าพระอรหันต์ดับไปแล้วนั้น ท่านดับโดยสิ้นเชิง หรือว่าเป็นแต่ไม่มีตัวหรือจักเป็นผู้ตั้งอยู่ยั่งยืนหาอันตรายมิได้

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ประมาณแห่งเบญจขันธ์ของผู้ที่ดับขันธปรินิพพานแล้ว มิได้มีกิเลสซึ่งเป็นเหตุกล่าวผู้นั้นว่าไปเกิดเป็นอะไร ของผู้นั้นก็มิได้มี เมื่อธรรมทั้งหลายอันผู้นั้นขจัดได้หมดไปแล้ว ก็ตัดทางแห่งถ้อยคำที่จะพูดถึงผู้นั้นว่าเป็นอะไรเสียทั้งหมด หมายความว่า พระอรหันต์นั้นดับถึงขนาดที่ไม่มีเรื่องที่จะพูดถึงท่านอีกต่อไป

    อ่านประวัติของพระอาจารย์มั่นจบแล้วก็ได้แต่ถามตนเองว่า ที่หลวงพ่อมั่นท่านต่อสู้กับความโง่หลงงมงายมนุษย์นั้น ท่านได้ชัยชนะทำให้ใครได้ฉลาดขึ้นหรือไม่ หรือว่าท่านตายเปล่า?

    ---------------------------------------------------------------------



    ตอบปัญหาของท่านผู้ถามเกี่ยวกับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

    โดย พระมหาบัว ญาณสัมปันโน

    วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี

    นับตั้งแต่วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๑๕ เป็นต้นมา ได้มีสุภาพบุรุษสุภาพสตรีหลายท่านทั้งใกล้และไกล ทยอยกันมาถามปัญหาธรรมในแง่ต่าง ๆ ทั้งอุตส่าห์มาด้วยตัวเอง ทั้งมีจดหมายมาถามมิได้ขาด แทบตอบไม่หวาดไม่ไหว ต้นเรื่องมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๑๕ โดยท่านคึกฤทธิ์เป็นผู้เขียนขึ้น ความจริงท่านก็เขียนดีน่าฟังอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาที่ควรยุ่งเหยิงวุ่นวายถึงขนาดที่กำลังเป็นอยู่เวลานี้ เพื่อช่วยกันแบ่งเบาไปบ้าง จึงขอเรียนตอบด้วยการเล่าเรื่องท่านอาจารย์มั่นให้ฟัง ซึ่งบางเรื่องเห็นว่าเหมาะสมกับเหตุการณ์ที่กำลังเป็นอยู่

    เพียงเท่านี้ก็พอทำให้คิดและทราบได้ในหลักใจของชาวพุทธเราว่า ยังมีท่านที่ลังเลสงสัยธรรมทางพระพุทธศาสนา ทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติอยู่มาก จึงทำให้วิตกถึงปฏิเวธธรรมที่เป็นผลแสดงขึ้นในลักษณะต่าง ๆ กัน จากการปฏิบัติของท่านผู้บำเพ็ญอยู่ไม่น้อยว่า น่าจะเป็นธรรมสุดเอื้อมหมดหวังในสมัยปัจจุบัน เพราะความจริงใจในธรรมมีน้อย เนื่องจากถูกทุ่มเทไปทางอื่นเสียมาก มิได้คำนึงเหตุผลพอประมาณ จึงอดคิดเป็นห่วงมิได้ในเรื่องดังกล่าวมา

    เฉพาะองค์ท่านพระอาจารย์มั่นที่ผู้เขียนเทิดทูนสุดจิตสุดใจนั้น แม้ท่านจะถูกวิพากษ์วิจารณ์และตำหนิติชมในลักษณะยกขึ้นทุ่มลง หรือด้วยวิธีการใด ๆ จนไม่มีชิ้นส่วนอะไรติดต่อกัน และกลายเป็นผุยผงไปตามอากาศก็ตาม ผู้เขียนมิได้มีอะไรหวั่นวิตกไปด้วยท่านเลย แม้กิเลสจะแสนหนาแน่นภายในใจอยู่ขณะนี้ก็เถิด แต่ที่ไม่แน่ใจอยู่เวลานี้ คือความรู้ภายในของท่านพระอาจารย์มั่น ประเภทที่ลึกลับซับซ้อนเกินกว่าความคาดคิดด้นเดาของสามัญธรรมดาทั่วไป เฉพาะอย่างยิ่งผู้ครองพระไตรปิฎก แต่ไม่เคยสนใจมองดูหัวใจตนว่าเป็นอย่างไรบ้างเลย มีแต่เที่ยวกวาดต้อนล่าธรรม ท่านที่รู้เห็นจากการปฏิบัติทางจิตตภาวนาในแง่ต่าง ๆ ไม่มีประมาณนั้น ให้เข้าสู่วงจำกัดคือพระไตรปิฎกโดยถ่ายเดียวนั่นแล ที่น่าเป็นห่วงมาก กลัวว่าอกจะแตกไปเสียก่อน ทั้งที่ธรรมท่านที่กำลังถูกกวาดต้อน ก็ยังไม่เข้าสู่จุดมุ่งหมายให้หมดสิ้นไปได้

    เมื่อมีเหตุอันควรกล่าวถึงองค์ท่านอาจารย์มั่นอีก ผู้เขียนก็จะกล่าวถึงความรู้ท่านที่ยังไม่เคยกล่าวเสียบ้าง เผื่อท่านที่มีความสามารถในทางนี้ จะได้ช่วยกวาดต้อนติชมไปตามนิสัย ซึ่งอาจเป็นการช่วยสังคายนากลั่นกรองธรรมเถื่อนให้หมดสิ้นไป เหลือไว้แต่ธรรมของจริงล้วน ๆ หากอยู่ในฐานะที่ควรเป็นได้ ลำพังผู้เขียนเพียงคนเดียวไม่อาจเห็นความผิดพลาดและความบกพร่องของท่านและของตนได้โดยทั่วถึง จึงขอเล่าเรื่องท่านแต่เพียงเอกเทศไว้ ณ ที่นี้บ้าง

    ท่านเคยเล่าให้สานุศิษย์ฟังในโอกาสต่าง ๆ กันอยู่เสมอมาว่า วันคืนหนึ่ง ๆ ธรรมประเภทต่าง ๆ ปรากฏขึ้นภายในใจท่านเสมอจนไม่อาจคณนา สิ่งไม่เคยคาดคิดว่าจะรู้เห็นก็รู้เห็นขึ้นมาเรื่อย ๆ จึงทำให้ท่านแน่ใจ หายสงสัยในธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นในพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายหลังจากตรัสรู้และบรรลุธรรมแล้ว จนถึงกาลเสด็จปรินิพพาน ว่ามีมากต่อมาก ราวท้องฟ้ามหาสมุทรสุดจะประมาณได้ ธรรมที่เป็นพระวิสัยของพระพุทธเจ้าทรงรู้เห็นโดยเฉพาะ ไม่อยู่ในวิสัยของสาวกจะพึงรู้ได้ก็ดี ธรรมที่อยู่ในวิสัยของสาวกบางองค์อาจรู้ตามได้ แต่ไม่อาจแสดงให้แก่ใครรู้และเข้าใจได้ก็ดี ยังมีอีกมากมาย

    ท่านว่าธรรมที่ไม่ได้จารึกไว้ในพระบาลีแห่งพระไตรปิฎกนั้น เทียบกับน้ำในมหาสมุทร ส่วนธรรมที่มาในพระไตรปิฎกนั้น เทียบกับน้ำในตุ่มในไหเท่านั้นเอง จึงน่าเสียดายที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ผู้เชี่ยวชาญนิพพานไปแล้วตั้งหลายร้อยปี จึงมีผู้คิดได้และจารึกธรรมเหล่านั้นขึ้นสู่คัมภีร์ตามความสามารถของตน ซึ่งโดยมากการจารึกก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของผู้จัดทำอีกเช่นกัน จึงไม่แน่ใจว่าจะได้ธรรมที่ถูกต้องแม่นยำถึงใจเสมอไป ไว้ต้อนรับอนุชนรุ่นหลังได้อ่านได้ชมเพียงไร เฉพาะความรู้สึกของผมเองว่าธรรมที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งฉายออกมาจากพระทัยที่บริสุทธิ์นั้น เป็นธรรมถึงใจสุดจะกล่าว เพราะเป็นธรรมที่ถึงเหตุถึงผลอยู่กับพระทัยที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้ว จึงเป็นธรรมที่อัศจรรย์และมีอานุภาพมากผิดธรรมดา ผู้รับจากพระโอษฐ์จึงมีทางบรรลุมรรคผลได้ง่าย และมีจำนวนมากมายเหลือจะพรรณนา บรรดาธรรมเหล่านั้น ไม่ว่าพระพุทธเจ้าและสาวกแสดงย่อมเห็นผลประจักษ์แก่ผู้รับฟังอย่างถึงใจ

    ส่วนพระไตรปิฎกที่พวกเราศึกษาจดจำกันมานั้น มีใครบ้างได้บรรลุมรรคผลในขณะที่กำลังฟังและศึกษาอยู่ แต่มิได้ปฏิเสธว่าไม่มีผล เมื่อเป็นเช่นนี้ธรรมทั้งสองนั้น ธรรมใดเป็นธรรมที่มีคุณค่าและน้ำหนักมากกว่ากันเล่า? ลองพิจารณาดูซิพวกท่าน ถ้าว่าผมหาเรื่องป่าเถื่อนมาพูด สำหรับผมเองมีความรู้สึกอย่างนี้ และเชื่ออย่างเต็มใจว่า ธรรมจากพระโอษฐ์นั่นแล คือธรรมประเภทถอนรากถอนโคนกิเลสทุกประเภทได้อย่างถึงใจทันควัน ดังพระองค์ทรงใช้ถอดถอนกิเลสแก่มวลสัตว์มาแล้วจนสะเทือนโลกทั้งสาม ผมจึงไม่ประสงค์และส่งเสริมให้ท่านทั้งหลายเย่อหยิ่งทำตัวเป็นตัวบุ้งตัวหนอนคอยกัดแทะกระดาษแห่งคัมภีร์ใบลานอยู่เปล่า ๆ โดยไม่สนใจพิจารณาสัจธรรมอันประเสริฐที่มีอยู่กับตัว แต่มัวไปยึดธรรมที่ศึกษามาถ่ายเดียว ซึ่งเป็นสมบัติของพระพุทธเจ้ามาเป็นสมบัติของตนด้วยความเข้าใจผิด ว่าตนเรียนรู้และฉลาดพอตัวแล้ว ทั้งที่กิเลสยังกองเต็มหัวใจ ยิ่งกว่าภูเขาไฟมิได้ลดน้อยลงบ้างเลย จงพากันมีสติคอยระวังตัว อย่าให้เป็นคนประเภทใบลานเปล่า ๆ เรียนเปล่าและตายทิ้งเปล่า ไม่มีธรรมอันเป็นสมบัติของตัวอย่างแท้จริงติดตัวบ้างเลย

    การกล่าวทั้งนี้ผมมิได้กล่าวเพื่อประมาทธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมย่อมเป็นธรรม ทั้งธรรมในใจและธรรมนอกใจ คือธรรมในบาลีพระไตรปิฎก แต่ธรรมในพระทัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเอง พุทธบริษัทได้บรรลุมรรคผลต่อพระพักตร์ของพระองค์แต่ละครั้งมีจำนวนมาก ส่วนธรรมที่จารึกขึ้นสู่คัมภีร์ใบลานนั้นมีผลผิดกันอยู่มาก ดังที่ปรากฏในตำรา ฉะนั้นธรรมในพระทัยจึงเป็นธรรมที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ แต่เมื่อพระองค์และพระสาวกซึ่งเป็นเจ้าของเสด็จเข้าสู่นิพพานแล้ว จึงมีผู้จารึกภายหลัง ซึ่งอาจแฝงไปด้วยความรู้ความเห็นของผู้จดจารึก อันเป็นเครื่องยังธรรมนั้น ๆ ให้ลดคุณภาพและความศักดิ์สิทธิ์ลงตามส่วน ใครก็ไม่อาจทราบได้

    นี่เป็นคำที่ท่านพระอาจารย์มั่นเคยพูดอยู่เสมอ กรุณาท่านที่สงสัยถามมาโดยทางจดหมาย วินิจฉัยตามที่เรียนมานี้ ส่วนที่นอกเหนือไปจากคำที่ท่านเคยพูดไว้ ผู้เขียนไม่อาจวินิจฉัยให้หายสงสัยได้ เพียงแต่ประคองร่างสืบชีวิตไปเป็นวัน ๆ ก็ยังหกล้มก้มกราบอยู่แล้ว จึงกรุณาเห็นใจและขออภัยมาก ๆ ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

    ส่วนท่านที่ถามมาตามหนังสือสยามรัฐตอนสุดท้ายว่า ที่หลวงพ่อมั่นท่านต่อสู้กับความโง่หลงงมงายของมนุษย์ ท่านได้ชัยชนะทำให้ใครได้ความฉลาดขึ้นหรือไม่? หรือว่าท่านตายเปล่า? สำหรับท่านผู้เขียนประวัติท่านมีความเห็นอย่างไรบ้าง? นั้น ถ้าพอมีสติระลึกตนได้อยู่บ้างว่ายังโง่ ยังหลงงมงายอยู่หรือไม่ หรือฉลาดจนถึงไหนแล้ว และเห็นว่าวิธีการที่ท่านดำเนินเป็นนิยยานิกธรรมอยู่บ้าง ธรรมนั้นและวิธีนั้นก็ควรจะทำคนโง่ให้ฉลาด และทำคนหลงให้รู้สึกตัวได้ ไม่ตายเปล่าแบบท่านอาจารย์มั่นซึ่งกำลังเป็นปัญหาอยู่เวลานี้ ไม่มีใครอาจแก้ให้ตกไปได้ ถ้าไม่แก้ที่ตนซึ่งกำลังเป็นปัญหาตัวใหญ่อยู่กับทุกคนว่า จะตายเปล่า หรือจะตายที่เต็มไปด้วยอะไรบ้างด้วยกัน ไม่มีข้อยกเว้น

    และท่านที่ถามอย่างกว้างขวาง แล้วมาสรุปความลงว่า การวิจารณ์ว่าเรื่องพระอรหันต์มาสนทนาธรรมและมาแสดงท่านิพพานต่าง ๆ กัน ให้ท่านอาจารย์มั่นดู มิได้มีในพระบาลีนั้นจริงไหม? การวิจารณ์เป็นความจริงหรือไม่? ถูกต้องหรือไม่? ท่านเป็นผู้เรียบเรียงจะวินิจฉัยว่าอย่างไร? ขอคำแนะนำด้วย

    ปัญหาเหล่านี้เข้าใจว่า ได้เรียนตอบลงในคำบอกเล่าของท่านพระอาจารย์มั่นซึ่งเขียนผ่านมาแล้ว ผู้เขียนมิใช่คนวิเศษวิโสเป็นคนใหญ่คนโต มีความรู้ความฉลาดเลื่องลือมาจากโลกไหน ก็เป็นคนสามัญธรรมดาที่มีกิเลสเต็มหัวใจเราดี ๆ นี่เอง
    ท่านผู้วิจารณ์และท่านผู้อ่านทั้งหลายก็เข้าใจว่า คงเป็นคนสามัญธรรมดาด้วยกัน ส่วนท่านพระอาจารย์มั่นซึ่งเป็นเจ้าของประวัตินั้น ท่านเป็นพระประเภทใด ผู้เขียนไม่กล้าอาจเอื้อมวิจารณ์ทำนายท่านได้ กลัวตกนรกทั้งเป็น ยังอาลัยเสียดายอยากอยู่ในโลกเหมือนคนทั่ว ๆ ไปอยู่

    การที่ความรู้ความเห็นของท่านพระอาจารย์มั่น จะมีในพระบาลีหรือไม่นั้น ถ้าพระไตรปิฎกมิได้ตั้งตัวเป็นกองปราบปรามผูกขาด ผู้ปฏิบัติก็มีสิทธิ์จะรู้ได้ในธรรมทั้งหลายตามวิสัยของตน ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายทรงรู้เห็นมาก่อนพระไตรปิฎกยังไม่อุบัติ ถ้าธรรมเหล่านี้และท่านเหล่านี้จะพอเป็นความจริง เป็นความถูกต้องได้และเป็นสรณะของโลกได้ ก็เป็นมาก่อนพระบาลีแล้ว ถ้าปลอมก็ปลอมมาแล้วอย่างไม่มีปัญหา จึงขอให้ท่านวินิจฉัยเลือกเอาตามชอบใจว่า จะเอา พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ หรืออะไร ๆ ผ่านสายตาสัมผัสใจก็ สรณํ คจฺฉามิ ร่ำไปแบบกินไม่เลือก แต่เวลาเจอก้าง……..



    หลวงพ่อพุธ เข้ากราบนมัสการหลวงตามหาบัว

    ลิงค์มาจากนี่ครับ...

    เพิ่มเติมอีกนะครับ..

    พระอริยเจ้าได้กล่าวถึง หลวงตามหาบัว

    "ในอนาคตเบื้องหน้า พระมหาบัวผู้นี้จักทำประโยชน์ใหญ่ให้แก่ประเทศชาติและพระศาสนา..!!!!"
    (พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ พระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานกล่าวพยากรณ์ไว้เมื่อพ.ศ. 2482)

    "ท่านมหา...ท่านมหา..ขอใส่บาตรหน่อย"(พระอาจารย์มั่น กล่าวพร้อมกับลุกขึ้นมาใส่บาตรให้หลวงตามหาบัวสมัยอยู่ที่บ้านหนองผือด้วยมือของท่านเอง หรือที่สุดบางคราวท่านพระอาจารย์มั่นก็กรุณาเอา"ผ้าที่ท่านห่มพร้อมดอกไม้ธูปเทียน"ไปทอดผ้าบังสุกุลให้ถึงที่จำวัดของหลวงตามหาบัวด้วยเมตตาอันหาที่เปรียบมิได้เลยทีเดียว..!!!!!)

    "ท่านมหาบัวนี่แหละ ที่จะเป็นที่พึ่งของหมู่คณะในวันข้างหน้านะ.."(พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ)

    "ในยุคบ้านหนองผือ พระอาจารย์มหาบัวลึกซึ้งมากทุกวิถีทาง ท่านพระอาจารย์มั่นไว้ใจมากกว่าองค์อื่นๆในกรณีทุกๆด้าน.."(หลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดภูจ้อก้อ มุกดาหาร)

    "หลวงตามหาบัวเป็นพระอรหันต์ร้อยเปอร์เซ็นต์ พันเปอร์เซ็นต์..!!!!"
    (หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคีธรรม สุพรรณบุรี)

    "หลวงตามหาบัวเป็นพระอรหันต์อันดับหนึ่งของประเทศไทย เพราะมีบารมีมากเหนือใครๆ ฤทธิ์ก็เยอะนะ..!!!!!"(หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคีธรรม สุพรรณบุรี)

    "บุญอะไร ก็ไม่เท่าบุญที่ทำกับหลวงตามหาบัว...""เสียดายที่โยมพ่อโยมแม่ของอาตมาตายไปเสียก่อน หาไม่แล้ว จะต้องให้มาทำบุญกับหลวงตาเสียเลยทีเดียว..!!!!"(หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคีธรรม สุพรรณบุรี)


    "สิ่งที่หลวงตามหาบัวทำ ถูกต้องทุกอย่าง อาตมาไม่มีข้อสงสัย..ให้ทำตามหลวงตาให้หมด"(หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคีธรรม สุพรรณบุรี)

    "ในยุคนี้ ไม่มีใครเกินหลวงตามหาบัว..!!!!"(หลวงพ่อแนน สุภัทโท วัดซำขาวถ้ำยาว จ.ขอนแก่น)

    "พระนักเทศน์ ใครๆก็รู้จัก..."หลวงปู่สาม อกิญจโน วัดป่าไตรวิเวก สุรินทร์

    "ผมยอมท่านอาจารย์(หลวงตามหาบัว) ดูลักษณะท่าทางนี่ไม่ผิดกับท่านอาจารย์มั่น ผมจับได้หมดเลย ผมเคารพสุดยอด!!!!"หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท วัดป่าภูริทัตปฏิปทาราม ปทุมธานี


    "ให้รีบไปกราบหลวงตามหาบัวเสียไวๆที่สุดเถิด เพราะหลวงตาท่านเข็นสังขาร(ต่ออายุ)มาให้นานถึง 10 กว่าปีนี่แล้วน๊ะ!!??!!"พระอาจารย์แบน วัดดอยธรรมเจดีย์ สกลนคร(กล่าวกับศิษย์ตอนหลวงตามหาบัวเจริญอายุได้ 90 ปี)
    หมายเหตุ ,1. เป็นที่ทราบกันวงในว่า แท้จริงนั้น หลวงตามหาบัวท่านหมดอายุขัยตั้งแต่ตอนที่ท่านอายุได้ 80 ปีแล้ว โดยช่วงนั้น หลวงตามหาบัวอาพาธหนักมาก(มะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 4 ) และสั่งให้เตรียมสร้างเมรุเพื่อปลงสังขารของท่านเองที่วัดป่าบ้านตาดไว้เรียบร้อยแล้วด้วย แต่พอดีช่วงนั้น(พ.ศ. 2540) ประเทศไทยกำลังประสพวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนัก ใกล้ล้มละลายเต็มที หลวงตามหาบัวสงสารลูกหลานไทยว่าจะถึงความพินาศวอดวายกันหมดทั้งชาติไปเสียเปล่า ท่านเลยต้องเจริญ"อิทธิบาทภาวนา" ต่ออายุองค์ท่านเองด้วยกำลังฌาณและอรหันตฤทธิ์ที่ทรงอานุภาพอย่างเยี่ยมยอด จนสามารถระงับยับยั้งอาการอาพาธ(มะเร็งขั้นสุดท้าย)ให้สงบราบคาบได้เหมือนปลิดทิ้ง อีกทั้งยังมีกำลังวังชาแข็งแกร่งเหมือนมิได้เป็นอะไรมาก่อนออกบิณฑบาตทองคำและดอลล่าร์ เพื่อ"ช่วยชาติ"ให้พ้นจากหายนภัยจนประสพผลสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติสยาม โดยได้ทองคำเข้าคลังหลวงถึงกว่า 10 ตัน และเงินดอลล่าร์อีก 10 ล้านดอลล่าร์ ดังเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไปแล้วนั่นเอง...
    2. ตอนนี้ หลวงตามหาบัว ท่านมีอายุได้ "95" ปีแล้ว นี่ก็เท่ากับว่า หลวงตาท่าน"ยืดอายุโปรดโลก"มานานถึงกว่า "15" ปีแล้ว จึงนับเป็นพระคุณและวาสนาล้นเหลือแก่ผู้ที่ปรารถนาจะได้พบได้เห็นได้กราบได้ไหว้และได้ทำบุญกับ"อัครอรหันต์"ผู้ซึ่งทำประโยชน์ใหญ่ให้กับประเทศชาติและพระศาสนาด้วยฤทธิ์และบุญบารมีอันสูงสุดดุจนี้อย่างแท้จริงเลยทีเดียว


    "เมตตาของหลวงตามหาบัวที่ได้ออกมาทำโครงการผ้าป่าช่วยชาตินั้น เปรียบเสมือนกับผืนแผ่นฟ้าที่ห่มคลุม(ปกป้อง)แผ่นดินไทยไว้ทั้งหมดเลยทีเดียว..!!!!!"
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร

    "ถ้าไม่(ทรงคุณธรรม)"ถึงขั้น"จริงๆแล้วละก็ จะถามปัญหาแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ..!!?!"หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ กล่าวชมหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนในการสนทนาถามปัญหาธรรมครั้งหนึ่ง



    "หลวงตามหาบัวเคยเล่าให้หลวงตาพุธฟังครั้งหนึ่งว่า....
    แต่ก่อนนั้น หลวงตาอยากเป็นพระ เมื่อได้บวช ก็เป็นพระสมใจแล้ว
    ต่อมา หลวงตาอยากเป็นพระมหา สอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค ก็ได้ชื่อว่า"มหาบัว"สมดังปรารถนาแล้ว
    ต่อมาอีก หลวงตาอยากเป็นพระนักปฏิบัติ ก็ออกธุดงค์วัตรปฏิบัติธรรม ก็ได้ชื่อว่าเป็นพระนักปฏิบัติแล้ว
    ครั้นสุดท้าย หลวงตาอยากสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็ตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างเต็มกำลัง
    แต่...คราวนี้ "ความอยากเป็นพระอรหันต์"ไม่รู้หายไปไหนหมดแล้ว...!!??"

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ก็สรุปในตอนสุดท้ายว่า"นี่แหละ ท่านผู้เป็นพระอรหันต์ หมดอาสวกิเลสแล้วอย่างแท้จริง ย่อมเป็นอย่างนี้นี่แล!!!!!"
    หมายเหตุ, เรื่องหลวงตามหาบัวตอนนี้ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมาได้เคยเล่าให้ได้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่หลายวาระด้วยกันก่อนที่ท่านละสังขาร เหมือนจะแสดง"ความนัย"บางประการให้ปรากฏ เห็นมีเนื้อหาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จึงขอนำมาเผยแพร่ ณ. ที่นี้ เพื่อให้ได้ร่วมอนุโมทนาเป็นมหากุศลทั่วกันทีเดียว

    "อรหันต์เหมือนกัน แต่ก็ไม่เหมือนกัน(บารมี)....!!!!""จากนี้ไป ต่อให้เกิดอีกสิบชาติร้อยชาติ ลูกหลานทั้งหลายก็ไม่มีทางที่จะเจอพระอรหันต์(ที่มีบารมีล้นฟ้า)อย่างหลวงตามหาบัวอีกแล้วนะ ให้รีบไปทำบุญกับท่านไวๆเถิด ประเสริฐที่สุดแล้วจริงๆ!!!!!"พระอริยะสายกรรมฐานองค์สำคัญที่หลวงปู่เจี๊ยะ วัดป่าภูริทัตตปฏิปทารับรองว่า "มีพลังจิตเทียบเท่ากับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร"(ขอสงวนนาม)กล่าวกับศิษย์ใกล้ชิดไว้ครั้งหนึ่ง

    ท่าน ก.เขาสวนหลวงยกย่องหลวงตามหาบัว

    สายสัมพันธ์ในธรรม..ของท่านมิได้จำกัดในหมู่เพื่อนบรรพชิตเท่านั้น....
    มีฆราวาส จำนวนมากที่สนใจประพฤติปฏิบัติธรรมและสำหรับผู้ที่มีความมุ่งมั่นจริงจังไม่ว่าเพศภูมิใด ย่อมประจักษ์ผลแห่งธรรมภายในใจ....ขึ้นเป็นลำดับๆ ไป นักภาวนาหญิงหรือชาย นั้นจะให้เหตุผลแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไรหลวงตาท่านเคยได้ให้เหตุผลว่า
    "........การปฏิบัติไม่มีเพศ เรื่องมรรคผลนิพพานแล้วไม่เพศ
    เหมือนกับกิเลสไม่มีเพศ มีได้ด้วยกันทั้งนั้น ความโลภก็มีได้ทั้งหญิงทั้งชาย
    ความโกรธ ความหลง ราคะ ตัณหา มีได้ด้วยกัน
    มัชฌิมาปฏิปทา จึงมีได้ทั้งหญิงทั้งชาย เป็นเครื่องแก้กิเลสทั้งหลาย
    แก้ได้ด้วยกันทั้งนั้น ด้วยอำนาจความสามารถ ของตนแล้ว มีทางหลุดพ้นได้ด้วยเช่นเดียวกัน..."ด้วยเหตุนี้เองเมื่อโอกาสอำนวย...ท่านจะไปเยี่ยมเยียนถึงสำนักผู้ปฏิบัติธรรมเหล่านั้นเสมอ ... เช่น สำนักชีบ้านห้วยทราย ของคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวงของอุบาสิกากี นานายน ในตอนนี้จะขอเล่าถึงตอนที่ท่านแวะเยี่ยมสำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง ดังนี้

    ท่านเคยได้ยินกิตติศัพท์ชื่อเสียงของคุณยาย ก. เขาสวนหลวง มานนานแล้วว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบควรแก่การเคารพกราบไหว้ แต่มีข้อประหลาดใจอยู่อย่าง หนึ่งคือ เขาว่ากันว่าคุณยายเป็นคนไม่เอาพระ คือไม่ต้อนรับพระ สิ่งนี้จึงทำให้หลวงตาฯ อยากรู้ว่าเป็นจริงหรือ ?
    หรือว่ามีเหตุผลด้วยประการใดกันแน่ เพราะหากเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจริงๆ แล้ว ลักษณะเช่นนี้ไม่น่าจะมีทางเป็นไปได้ ท่านจึงไม่อยากเชื่อข่าวลือนี้นัก

    เหตุนี้เอง เมื่อมีจังหวะมาถึงในคราวท่านมากรุงเทพฯ เพื่อดูแลอาการอาพาธของท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ชึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเองที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อได้โอกาสอันควร ท่านจึงได้ไปเยี่ยมเยียนคุณยาย ก. ถึงสำนักฯ เขาสวนหลวง จ.ราชบุรี ด้วยตนเองเลยทีเดียว...

    พอเข้าไปถึงสำนักเท่านั้น ไม่นานก็มีเสียงระฆังเคาะดังกังวานขึ้น เรียกให้สตรีนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายพากันหลั่งไหลมากราบท่าน และให้การปฏิสันถารต้อนรับ เป็นอย่างดี โดยมีคุณยาย ก.เป็นหัวหน้าอยู่ ณ ที่นั้นด้วย
    หลังจากสนทนาพูดคุยกันได้ไม่นาน คุณยายกราบอาราธนานิมนต์ให้หลวงตาฯ แสดงธรรมแก่เหล่าอุบาสิกานักปฏิบัติธรรมทั้งหลายท่านจึงแสดงธรรมเน้นเรื่องจิตภาวนาเป็นสำคัญ...
    ทราบว่าหลังการแสดงธรรมคุณยายถึงกับประกาศขึ้นด้วยความอาจหาญในธรรมปฏิบัติของคุณยายเองแก่บรรดาลูกศิษย์ในสำนักว่า
    "ธรรมที่ท่านอาจารย์ได้แสดงให้ พวกเราฟังนั้น สามารถยึดถือเป็นหลักประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้องไม่มีผิดพลาด แม้เปอร์เซ็นต์เดียว"
    เหตุการณ์ในครั้งนั้น เป็นที่ประจักษ์แก่ตัวท่านเอง ดังคำกล่าวที่ท่านเล่าให้ผู้มากราบเยี่ยมคณะหนึ่งฟังว่า
    "ที่ว่าคุณยายไม่ต้อนรับพระนั้น หมายถึง พระประเภทโกโรโกโสไม่ได้เรื่องได้ราวต่างหาก ถ้าเป็นพระเคารพธรรมเคารพวินัยคุณยายท่านก็ไม่เป็น ....จะว่าอะไร แม้แต่เราเองก็ไม่ต้อนรับพระประเภทนั้นเหมือนกัน..."


    คัดจาก"หนังสือหยดน้ำบนใบบัว หน้า 213 -214 "ประวัติหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


    "เทวดา อินทร์ พรหม ทราบหมดในเรื่องของเรา..!!!!!"หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี


    ที่มา : http://www.gmwebsite.com/webboard/Topic.asp?TopicID=Topic-080610095027320
     
  15. จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    พระไตรปิฎกในคือผู้สิ้นกิเลสแล้วเป็นผู้ทรงธรรมล้วน ๆ ไว้ บริสุทธิ์เต็มที่ พระไตรปิฎกนอกเป็นคนที่มีกิเลสไปจดจารึกออกมา จึงเรียกพระไตรปิฎกนอก เอ้า แยกเข้าไปอีก พระไตรปิฎกตาบอด พระไตรปิฎกตาดี นั่นเอาอีกนะ พระไตรปิฎกตาดี คือผู้ท่านสว่างกระจ่างแจ้ง ทรงธรรมที่บริสุทธิ์พุทโธเต็มดวงเต็มที่ไว้ คือพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่าน นี่พระไตรปิฎกตาดี สว่างกระจ่างแจ้งไปหมด ออกจากหัวใจของท่านจ้าไปหมดครอบโลกธาตุ นี่เรียกพระไตรปิฎกตาดี

    พระไตรปิฎกตาบอด เราเรียนเท่าไรก็เรียน ฟาดจนจบพระไตรปิฎกก็ได้แต่ชื่อได้แต่นาม ได้แต่ความจำ ได้แต่ตำรับตำรา ไม่ได้ความจริงอย่างท่านมา ก็เรียกว่าผู้ไปจดจารึกหรือเป็นคนประเภทนั้นก็ตาม แล้วผู้ที่ไปเรียนตามนั้นก็เป็นคนตาบอด คำว่าบอดนี้คือหมายความว่ากิเลสครอบงำหัวใจ ใจยังมืดมิดปิดตาอยู่ แม้จะเรียนอรรถเรียนธรรมก็มีแต่ชื่อแต่นามของอรรถของธรรม แต่ใจยังบอดอยู่ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าพระไตรปิฎกตาบอด พระไตรปิฎกตาดี เข้าใจไหม


    จากเทศน์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เรื่อง "หลวงปู่มั่น-พระไตรปิฎกตาดี"
    วันที่ 25 กันยายน 2541
    สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด

    อ่านเต็มๆ ที่นี่...
     
  16. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "พระไตรปิฎกตาบอด พระไตรปิฎกตาดี" หลวงตาสำเร็จแล้วจึงสอนไว้อย่างนี้ คนกิเลสหนาตาบอดอย่าได้คิดแบบนี้เลยจะเป็นบาปกรรมติดตัวครับ
     
  17. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผม QUOTE มาทั้งหมด ทำสมาธิ ทำจิตตั้งมั่น อ่านแล้วพิจาณาใคร่ครวญให้ดี คุณกล่าวขัดกันเองมั่วไปหมด ที่สำคัญคือพระสูตรนี้บอกไว้ว่า สมถะและวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้าบ้าง สมถะและวิปัสสนาต้องควบคู่กันไปบ้าง ไม่มีตรงไหนแยกสมถะและวิปัสสนาออกจากกัน รณจักรเก่งกว่าครูบาอาจารย์ผู้เขียนตำรา เก่งกว่าตำรามาจากไหนจึงคิดบัญญัติและแก้ไขพระธรรมและวินัย
     
  18. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    กระทู้นี้น่าจะถูกลบตั้งแต่วันแรก ตั้งกระทู้ซ้ำตั้งเกือบทุกห้องไม่ถูกใบเตือนไม่มีใบแดง
    ถ้ากระทู้นี้ไม่โดนลบ ผมจะตั้งกระทู้แบบนี้บ้าง ขอใบแดงหรือแบนถาวรไปเลยก็ดีครับ
     
  19. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    คุณ จิตตานุปัสสนา

    หลวงตามหาบัวท่านตอบ จดหมายของ คุณคึกฤทธิ์ ก็จริง แต่ไม่ได้อธิบายลงรายละเอียด มากอย่างที่หลวงพ่อพุธอธิบาย นอกจากในจดหมายผมยังไม่เจอว่าหลวงตามหาบัวท่านได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ที่ไหนอีกหรือเปล่า?

    ผมก็เคยอ่าน เนื้อหาจดหมายดังกล่าวแล้วใน ภาคผนวกท้ายเล่ม ประวัติหลวงปู่มั่น มาแล้วเหมือนกัน

    ซึ่งสามารถสรุปเนื้อหาได้คร่าวๆ ก็คือ

    คุณคึกฤทธิ์บอกว่า : พระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้ว (รวมถึงพระพุทธเจ้า) มาสนทนาธรรมกับคนที่ยังไม่นิพพาน แล้วแสดงท่านิพพานให้ดูนั้น ไม่มีในพระบาลี (พระไตรปิฎก) ตอนอุปสีวมานพ ถามปัญหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตอบว่า พระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว ก็หมดเรื่องที่จะพูดถึงอีก

    อ่านรายละเอียด เรื่อง อุปสีวมานพ ตาม link
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=25&A=11154&Z=11193

    หลวงตามหาบัวตอบว่า : การที่ความรู้ความเห็นของท่านพระอาจารย์มั่น จะมีในพระบาลีหรือไม่นั้น ถ้าพระไตรปิฎกมิได้ตั้งตัวเป็นกองปราบปรามผูกขาด ผู้ปฏิบัติก็มีสิทธิ์จะรู้ได้ในธรรมทั้งหลายตามวิสัยของตน ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายทรงรู้เห็นมาก่อนพระไตรปิฎกยังไม่อุบัติ

    ความจริงคือ
    - พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต
    - พระพุทธเจ้า ตรัสว่า เมื่อพระอรหันต์นิพพานไปแล้ว อุปมาเหมือนไฟที่ดับ และสิ้นเชื้อ เราไม่สามารถบอกได้ว่าไฟที่ดับไปแล้วนั้นอยู่ที่ไหน (อัคคิวัจฉฉโคตตสุตร)
    - พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ดูกรอุปสีวะ ท่านผู้ถึงความตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่มีประมาณ ชน
    ทั้งหลายจะพึงกล่าวท่านผู้นั้นด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้นใด กิเลส มีราคะเป็นต้นนั้นของท่านไม่มี เมื่อธรรม (มีขันธ์เป็นต้น)ทั้งปวง ท่านเพิกถอนขึ้นได้แล้ว แม้ทางแห่งถ้อยคำทั้งหมดก็เป็นอันท่านเพิกถอนขึ้นได้แล้ว ฯ


    ไม่ใช่แค่ไม่มีในพระไตรปิฎกอย่างที่คุณ คึกฤทธิ์ กล่าว แต่ยัง ไม่ตรงกับความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน (คุณ คึกฤทธิ์ จึงเขียนวิจารณ์ อย่างที่เห็นในจดหมาย )

    ถ้าหลวงพ่อพุธไม่ออกมาอธิบายว่า หลวงปู่มั่นท่านไม่ได้ผิดหรอก ท่านเห็นจริง แต่ที่เห็นนั้นเป็นนิมิตที่จิตบริสุทธิ์สร้างขึ้น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ที่ นิพพานแล้ว ไม่ได้มาจริงๆ คาดว่าคงมีอีกหลายคนที่ ด่วนสรุปแล้วปรามาส หลวงปู่มั่นหรือหลวงตามหาบัว

    ไม่ก็เข้าใจผิดคิดว่ามีอัตตาตัวตนตายแล้วไม่สูญ
    คิดว่านิพพานแล้วยังมีชีวิตสามารถมาติดต่อกับคนที่ยังไม่ตายได้อยู่
     
  20. Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    สิ่งที่ผมยกมา เป็นข้อความจากพระสูตร และพระอภิธรรม ครับ ผมไม่ได้ดัดแปลงบิดเบือนอะไรเลย ถ้าไม่รู้เรื่องในสิ่งที่ผมนำมาเสนอ คุณอุรุเวลาก็อ่าน ข้อความต้นฉบับแล้วสรุปให้ฟังทีสิครับ ว่ารู้เรื่องในแบบของคุณเป็นยังไง แหล่งข้อมูลผมก็ใส่อ้างอิงทุกครั้ง
    และที่บอกว่า กล่าวขัดกันเองมั่วไปหมด ช่วยระบุได้ไหมครับว่า ในพระอภิธรรมฯ กับในพระสูตร ทีีผมยกมานั้น มีจุดไหนที่ขัดกันบ้าง มีจุดไหนที่มั่วบ้าง

    นอกเสียจากคุณอุรุเวลาจะไม่เชื่อว่า ข้อความในพระสูตรและอภิธรรมที่ผมยกมานั้นเป็นความจริง

    หรือไม่คุณอุรุเวลาก็อ่านพระสูตรกับพระอภิธรรมไม่เข้าใจเอง

    ลองตรวจสอบดูได้ครับ

    http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=31&A=7564&Z=7861&pagebreak=0

    http://abhidhamonline.org/aphi/p1/113.htm
     

แชร์หน้านี้