คำถามครับ
1. ปัญญาญาณ นี้มีได้พระอริยะเท่านั้น หรือว่าคนธรรมดาก็มีได้ครับ ?
2. การอ่านแบบเจโตปริยญาณ กับ อ่านแบบปัญญาญาณ นี้ต่างกันอย่างไรครับ ?
ระหว่าง ปัญญาญาณ กับ เจโตปริยญาณ ?
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Mdef, 12 กันยายน 2018.
หน้า 1 ของ 2
-
-
คงต้องรออาจารย์นพมาตอบครับ
-
ปัญญาญาณ คนละอย่างกะเจโตปริยญาน
ปัญญาญานเป้นชื่อเรียกลำดับของปัญญาที่เติบโตไปตามลำดับ เอามาใช้ในโลกิยะไม่ได้
เกิดขึ้นในฝ่ายโลกุตระเท่านั้น
หากเกิดขึ้นก้เพียงทำลายกิเลสแต่ถ่ายเดียวไม่สามารถสั่งได้ด้วยเจตนาให้เกิด
ส่วนเจโตปริยญานเป้นอภิญญา
เป้นญาณเครื่องรู้ เพื่อหยั่งรู้วาระจิต
มีเจตนาในการหยั่งรู้ สั่งได้
คนละอย่างกับปัญญาญาน -
ว่าผมเข้าใจถูก หรือ ยังคลาดเคลื่อนในส่วนไหนอยู่
มโนสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร อันนี้เป็น เจตนา การหยั่งรู้จึงหยั่งรู้ในเรื่องของเจตนาต่างๆ
ส่วนปัญญาที่เริ่มเติบโตมาตามลำดับ คือจากการมีเจตนา ยังเป็นในส่วนการปรุงแต่ง บุญ บาป
จิตกุศล จิตอกุศล ก็ค่อยๆเริ่มหลุดออกจาก บุญ กับ บาป
อภิญญานี้มีในส่วนที่ยังเจือด้วย บุญ และ บาป ส่วนปัญญาญาณนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่อง บุญ บาป
อภิญญา เข้าถึงในเรื่องจำเพาะแบบเฉพาะบุคคล เพราะ บุญ บาป
มันก็แต่ละส่วนบุคคลหรืออาจจะมีร่วมกันบ้าง
ส่วนปัญญาญาณ นี้เป็นการเข้าถึงความเป็น สาธารณะ ไม่ได้จำเพาะบุคคล
เป็นการเข้าถึงเหตุแห่งที่มาและที่ไป ของโลกและจักรวาลต่างๆ ในส่วนของธรรมชาติ
เพราะ ต้นไม้ ก้อนเมฆ ก้อนหิน นี้ไม่ได้มีเจตนา เป็นญาณหยั่งรู้ในส่วนประมาณนี้ -
เอาทีละข้อนะ ตอบข้อที่ ๑ ก่อน
ปัญญาญานเนี่ย จะเกิดได้ ก็ต่อเมื่อ สภาวะของจิต
เห็นได้ทั้ง ตัว ๑.ผู้ดู ๒.จิต และ ๓.ผู้รู้ คือว่า
ทั้ง ๓ ตัวที่กล่าวมานี้ มันยังเป็นกระบวณการปรุงแต่งอย่างหนึ่งอยู่....
เพิ่มเติม กรณี
๑.ถ้าหนัก สมถะ จะเห็น ตัวผู้ดูและจิต แต่ไม่เห็นตัวผู้รู้(ตัวที่ส่งออกจากจิตไปกระทบ ไปสร้าง
อะไรนั่นหละ) พูดง่ายๆ จะเห็นตัวจิตได้ชัดเจน
และถ้าดันหนักไปทางใช้งานทางจิต
และไม่มาทางด้านปัญญา จะเข้าใจว่า ผู้ดูเป็น ตัวรู้เป็นปัญญาอะไรว่าไป....
๒.ถ้าหนักทางด้าน ปัญญา จะเห็นตัว จิต และผู้รู้(ตัวที่ไปเห็นกระบวณการที่เกิดไปแล้ว คือตัวแบบข้างบน ข้อ ๑)
และจะเข้าใจว่า ตัวจิตเป็นผู้รู้ เป็นปัญญาอะไรก็ว่าไป ยิ่งถ้าไม่มาเสริมสมถะ ก็จะเข้าใจ
อย่างนั้น เพราะไม่เห็นตัวผู้ดู
ถ้า ๑ กับ ๒ มาคุยกัน คุยกันชาตินี้ยังชาติหน้าก็ไม่จบ เพราะเห็นและเข้าใจคนละแบบ
เรียกว่า เห็นต่างกัน ๑ เห็นต้นกับกลาง ๒ เห็นกลางกับปลาย สรุปคือ เห็นไม่ครบ
ทั้ง ๑ และ ๒ และยิ่งถ้ายึด ยิ่งจะไม่จบ เพราะถือว่า ตัวเองเก่งทั้งคู่
ดังนั้นถ้าจะไปต่อ ก็ให้พิจารณาว่า ตนเองอ่อนตรงไหน ก็เสริมตรงนั้น เพิ่มการสังเกตุเข้าไป
มันจะย้อนมาเห็นกระบวณการทั้งหมดได้เอง.....ถ้าเป็นพวกใน ข้อ ๑ ให้ทิ้งความสามารถ
ต่างๆให้เสมือนว่า ไม่เคยทำได้เลย และมาเน้นด้านปัญญาต่อซะ ก็จะไปต่อได้
ถ้าเป็นพวกในกลุ่ม ๒ ให้ทิ้ง นามธรรมต่างๆ ทิ้งการเข้าใจกระบวณการต่างๆที่ไปเห็น
จากตัวผู้รู้ที่มันเกิดให้หมดซะ แล้วมาเพิ่มทางสมถะ ก็จะไปต่อได้
อย่าได้ หลงตัวเอง ว่าบรรลุอะไรเป็นอันขาด ถ้าสภาวะจิต
ยังไม่สามารถ เห็นได้ ทั้ง ผู้ดู จิต และผู้รู้ และเห็นว่ามันเป็นแค่กระบวณการปรุงแต่ง
อย่างหนึ่งอยู่....โปรดระมัดระวังให้ดี...
ย้ำว่าตรงนี้ห้ามยึดไม่ว่า
ตนจะอยู่ใน กลุ่ม ๑ หรือ ๒ เป็นอันขาด
ไม่งั้น กลุ่ม ๒ จะกลายเป็น วิปัสสโน มนึกปัญญาสญาน
กลุ่ม ๑ จะกลายเป็น พวกปัญญากวนตรีนสญาน จบ.....
ตอบ ข้อที่ ๒......
เจโตฯ สามารถเกิดขึ้นได้ แม้ไม่เคยฝึกอะไรมา
และสามารถให้เกิดขึ้นมีได้ ถ้าผ่านการฝึกมา
แต่ว่า มันยังเป็นมิจฉาสมาธิได้อยู่ แม้ว่าจะมีความชำนาญ
ในการใช้งานแค่ไหน คล่องแค่ไหนก็ตาม เหตุเพราะอะไร ?
ทำไม ถึงบอกว่า มันเป็นมิจฉาสมาธิ
ก็เพราะถ้า ถ้าจิตดวงใดก็ตาม และเมื่อใดก็ตาม มีการเกิดขึ้น ของเจโตฯนั้น
หากยังมีตัวไปกระทำให้มันเกิดขึ้น(แต่พอนำไปใช้งานได้บางกรณี)
ไม่ว่า จะเกิดจาก กำลังสมาธิ ความชำนาญ กำลังจิต ตบะ ฌาน ก็ตาม
จะถือ ว่ามีตัวกระทำให้มันเกิด เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นจากธรรมชาติ
ของจิตเดิมของบุคคลนั้นๆ ที่ตัวจิตบุคคลนั้นๆได้ค่อยๆ
คลายตัวเองได้ตามธรรมชาติตามลำดับ ซึ่งทำให้
ความสามารถต่างๆที่จิตเคยสะสมมามันก็ค่อยๆขึ้นมาตามลำดับเหมือนกัน
ความสามารถในที่นี้ รวมทั้งเจโตฯด้วย ที่เป็นผลที่จิต
มันได้รู้ ต้นเหตุแห่งการเกิดและดับ ที่มาจากจิตที่เข้าถึงปัญญาญานนั่นเอง......
พูดง่ายๆ ก็คือ การอ่านแบบปัญญาญาน มันเกิดขึ้นเองอัตโนมัติ เป็นธรรมชาติ
ของมันเอง ตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิตดวงนั้นๆ ที่เป็นผลมาจาก
การคลายตัวเองได้ตามธรรมชาติของจิตดวงนั้นๆนั่นเอง....
พอเข้าใจในภาพรวมเนาะ......
-
หากจิต เปรียบเสมือน แสง
สัมผัสรับรู้ เปรียบเสมือน สีต่างๆ
ผู้ดู เปรียบเสมือน กระจกใส
คนหนึ่ง มีฉาก กับ แสง แต่ไม่รู้อารมณ์สีต่างๆ เพราะอยู่ในสีเดียวอารมณ์เดียว
คนสอง มีแสง กับ มีสี แต่ไม่มีฉากรับภาพ ทำให้ละเอียดอ่อนทางอารมณ์ต่างๆ
แล้วนำอารมณ์ต่างๆเหล่านั้น ไปเป็นข้อพิจารณาในขณะที่ยังไม่มีภาพปรากฏ
ทำให้มีโอกาสเป็น วิปัสนึก เป็นการนำอารมณ์ต่างๆไปสร้างเป็นภาพแบบเออเองคนเดียว
ในคนที่ 2 นี้ต้องเพิ่ม เวทนานุปัสสนา ให้มากขึ้นรึเปล่าครับ
เพื่อที่จะได้เริ่มรู้จัก ตัวผู้ดู ที่มากขึ้น ? -
ผมกะจะตั้งกระทู้ถามพอดี -
+++ ส่วน "สภาวะ นึก/คิด/มโน เอาเอง แล้ว เข้าใจ (ปัญญาทางโลก)" ผู้ที่ยังอยู่ในนี้ ถือว่า "ไม่ได้อยู่ในมรรค"
+++ "กิริยาจิตแห่งตน" หลัก ๆ จะมีแค่ 2 ประการเท่านั้น คือ "วจีจิตตะสังขาร กับ มโนจิตตะสังขาร"
+++ ซึ่งทั้ง 2 ประการนี้ จะส่งผลลัพธ์ให้เกิดอาการ "มโนขึ้นเอง" หากไม่สามารถเท่าทันกับมัน ตรง "กิริยาจิต"
+++ "เจโตปริยญาณ" เมื่อชำนาญ "การหยั่งรู้ วาระจิตแห่งตน" จนถึงที่สุด ย่อมรู้ได้เองว่า "กิริยาจิตใด ไม่ใช่ของตน"
+++ ตรงนี้จึง "ก่อกำเนิด จิตสื่อสาร ตามความเป็นจริงได้" กับกิริยาจิต ที่ไม่ได้มาจากตน (จิตอื่น)
+++ "ปัญญาญาณ" ในวรรคนี้ คือ "ปัญญาในการหยั่งรู้ วิธีการทำงานของ เจโตปริยญาณ" นั่นเอง นะครับ -
กำลังสมถะได้. แต่ต้องฝึกตัดการเห็น
และการรับรู้ร่วมด้วย ตรงนี้สำคัญมาก
ไม่งั้นมันจะดึงให้จิตเราไปตาม
จริต อนุสัย หรือวิบากอย่างใดอย่างหนึ่งได้
คือเห็นปุ๊บทิ้งปั๊บ รู้แล้วก็แล้วไป
ไม่ต้องไปอยากรู้อยากเห็น
ประมานนี้ พูดง่ายๆเห็นไม่เห็น
รู้ไม่รู้ก็ช่างมัน -
คือ เอาง่ายๆเลยลองเทียบดู
ปัญญาญาณนี้ จะเกิดขึ้นในการทำสติปัฏฐานเท่านั้นครับ นอกจากสติปัฏฐานแล้วไม่มีวิธีอื่น
จะว่าปัญญาญานเป็นสาธารณะก้ได้
แต่ สำหรับผู้ฝึกสติปัฏฐานเท่านั้น
ทีนี้ ใครก็ได้ ศาสนาไหนก้ได้
ที่มาเรียนรู้การทำสติปัฏฐาน
แล้วฝึกตามลงไปอย่างยิ่งยวด
ปัญญาญาณย่อมเกิดขึ้น
ส่วนเจโตปริยญานอันนี้จะเป้นสาธารณะที่ว่า
ศาสนาไหนก้ฝึกมีได้เพราะเกิดด้วยฌานเป้นพื้น
ที่มีมาก่อนพุทธศาสนา
อภิญญา6อย่าง
มีข้อที่6อย่างเดียวคือ
อาสวะขยญาน(ปัญญาญาณ)
ที่ศาสนาอื่นทำไม่ได้
เพราะไม่รู้จักสติปัฏฐาน(มรรค8)
เจโตปริยญาน
กับ
ปัญญาญาน จึงเป้นคนละส่วน
ส่วนที่คุณเข้าใจในการพ้นบุญบาปมันก้ถูกต้อง
ปัญญาญานเกิดขึ้นเมื่อใดมันพ้นบุญบาปแน่นอน
ภพชาติสั้นลงจนกว่าจะสุดทาง -
เจโตปริยญาณ เปรียบเสมือน รถ เป็นกระบวนการทำงาน แต่รถก็ยังไม่รู้ตัวมันเองว่ามันเป็นรถ
เป็นแต่เพียง กระบวนการทำงานเฉยๆ
ส่วนปัญญาญาณ เปรียบเสมือน วิศวะประจำรถ คือรู้ว่า กระบวนการต่างๆเหล่านี้
มีมาจากเหตุอะไร ในส่วนที่ติดขัดต่างๆของตัวรถ เป็นเพราะเหตุอะไร และ จะแก้ยังไง
ในส่วนของวรรคนี้ประมาณนี้หรือป่าวครับ ?
ผมขอถามเพิ่มเติมอีกหน่อยครับ ท่านธรรมชาติ
1. ทานต่างๆเกี่ยวกับเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น ถวายมือถือ ถวายพัดลม
ถวายหลอดไฟหรือไฟฉายหรือเทียน กับพระพุทธศาสนา
ทำให้มีผลเอี่ยวกับการเป็นผู้มี อภิญญา หูทิพย์ ตาทิพย์ หรือ อิทธิฤทธิ์ ต่างๆด้วยหรือไม่ครับ
เช่น
ในส่วน มือถือ กับ แนวเกี่ยวกับไฟ อาจจะได้ หูทิพย์ กับ ตาทิพย์
ในส่วน เจโตปริยญาณ คือ ถวายแนวหนังสือ หรือ พูดคุยธรรมะ หรือ สอนธรรมะ
ทำให้เกิดความเข้าใจทางภาษาภายในได้ง่ายขึ้น
ในส่วนอำนวยความสะดวกต่างๆ คือ อาจจะได้อิทธิฤทธิ์เพิ่มขึ้น อย่าง เหาะได้ เป็นต้น
2. เตวิชโช ฉฬภิญโญ มีเครื่องมือเครื่องใช้ การจะมีปัญญาญาณ
ก็ต้อง ทำฌาน ทำอภิญญา ให้ได้ก่อน แล้วจึงค่อยไปสังเกต กระบวนการต่างๆ
ในสาเหตุที่ทำเกิดขึ้น และ สาเหตุที่ทำให้ดับไป ในกระบวนการต่างๆเหล่านี้
แล้วจึงมีโอกาสเข้าสู่ทาง ปฏิสัมภิทาญาณ รึเปล่าครับ ?
ผมอาจจะถามเกินตัวไปหน่อย แต่เป็นการวางแผนอนาคตเอาไว้ก่อนได้ไม่เกิดความเข้าใจ
ที่คลาดเคลื่อน ไปหนะครับ -
ส่วนเจโตคือการใช้งานตัว วจี/มโนจิตสังขาร
อภิญญาทั้งหมดมาจากเข้าใจและใช้ขันธ์ทั้งหมดนะครับ
โดยส่วนตัวผมว่าต้องเข้าใจมันก่อนถึงจะใช้งานมันได้นะครับ -
คุณนี้ยังน่ารักเหมือนเคยนะขอรับ :D -
ขอยกตัวอย่างให้ฟังก็แล้วกัน
จะไม่ขอ อธิบาย เพราะขี้เกียจเขียน
เราเป็น พระโพธิสัตว์ สายปัญญา
เวลาเราทำบุญ สายอื่นขอให้รวยๆ
แต่พวกสายเรา หรือ สายปัญญา
มักจะขอให้ มีปัญญามาก จนถึงขั้น
บรรลุธรรม กันเลยทีเดียว
เพราะฉนั้น พวกมีปัญญามาก
มักยากจน เป็น นิสสัย
ส่วนพวกสายอื่น ก็มักร่ำรวย มีตั้งแต่
กษัติย์ ลงมาเลยทีเดียว จึงโปรดคนได้เยอะกว่า
สายปัญญาญาน
สรุปคือ พวกปัญญาญาน ก็ต้องสอนเฉพาะ
พวกปัญญาญานเท่านั้น
แต่สายอื่น สามารถสอนได้ ทุกสาย
เพราะว่ามี กำลังจิต และ บารมีญาน มากกว่านั่นเอง -
-
พวกศรัทธาธิกะ มีปัญญาน้อยกว่า พวก ปัญญาธิกะ แต่ก็มีปัญญา มากกว่า พวกวิริยาธิกะ ครับ
เรียงจากมากไปหาน้อย คือ
1 พวกปัญญาธิกะ มีปัญญามากที่สุด ในสามพวก มักจะ บรรลุธรรม ในขณะที่ตัวเอง เจริญปัญญา นั่นเอง ส่วนใหญ่จะเป็น วรรณะแพทย์หรือ วรรณะศูตร มักจะเป็น เจ้านิกาย เจ้าลัทธิ อาจารย์สอนหนังสือ
2 พวกศรัทธาธิกะ มักมีปัญญากลางๆ แต่มีศรัทธา หรือ ความเชื่อ นำ และมักจะบรรลุธรรมในขณะที่ตัวเอง เจริญศรัทธา หรือ เข้าญาน คือ บรรลุธรรมในขณะทำสมาธิ นั่นเอง มักจะเป็น วรรณพราห์ม
3 พวกวิริยาธิกะ มีปัญญาน้อย แต่มีความเพียรนำ มักจะบรรลุธรรมในขณะที่ทำความเพียร เช่น บรรลุธรรมขณะเดินจงกลม
ส่วนใหญ่เป็น วรรณะกษัตริย์
-
-
การที่ผมจะไตร่ตรองได้หรือไม่ได้นั้น จะขึ้นอยู่กับที่ตัวผมซะทีเดียวก็คงจะไม่ใช่ครับ
แต่อยู่ตรงผู้ที่หย่อนสะพานมาให้ผมจากท่านต่างๆนั้นหละครับ ที่ทำให้พอได้คลำทางไปได้บ้าง
ก็ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปละกันครับ ท่านศรัทธาธิกะ อิอิ
ประโยชน์จากท่านต่างๆที่มาอธิบายนั้นมีอยู่
ในส่วนที่ผมอธิบายอันนั้นเป็นไปเพื่อให้ท่าน ที่ทอดสะพานให้ผมมาชี้แนะอีกทีว่าใต่มาถูกทาง
หรือว่าใต่ออกไปคนละที่กันเลยทีเดียว ก็เพียงแต่นั้นครับ -
+++ ทั้ง "เจโตปริยญาณ + ปัญญาญาณ" ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับ คำว่า "ญาณ" ทั้งหมด
+++ เจโตปริยญาณ หากไม่ใช้คำศัพท์เปรียบเทียบ เช่น เปรียบเสมือน อะไรต่าง ๆ แล้วละก็
+++ การใช้ภาษาให้ตรงตามอาการจริง ๆ จะมีอยู่ได้ 2 ทาง คือ
1. มีกิริยาจิต ปรากฏร่วม "และ/หรือ" ปรากฏความเป็น "อัตตาจิต/ตัวดู/หลุมดำ/วิญญาณขันธ์" ของผู้ที่ มาติดต่อ
2. ไร้กิริยาจิต "และ/หรือ" ไม่ปรากฏความเป็น "อัตตาจิต/ตัวดู/หลุมดำ/วิญญาณขันธ์" ของผู้ที่มาปรากฏ โดยสิ้นเชิง
*** หมายเหตุ คำศัพท์ "อัตตาจิต/ตัวดู/หลุมดำ/วิญญาณขันธ์" นี้ ให้เลือกเอา "คำเดียว" ตามจริตของผู้อ่าน แต่มันเป็น "ตัวเดียวกัน" ทั้งหมด
+++ ในกรณีแรก เป็นการปรากฏของ "ผู้ที่ยังมีความเกี่ยวข้อง ข้างใน ภพภูมิ"
+++ ในกรณีที่สอง เป็นการปรากฏของ "ผู้ที่อยู่ใน ไกวัลยธรรม" ที่ "ไร้กิริยาจิต และ อัตตาจิต" โดยสิ้นเชิง
+++ ความเข้าใจ/ปัญญา อยู่ในส่วนของ "กิริยาจิต" (ยังมีกิริยา/อาการ) เป็นส่วนของ "ขันธ์ (ปัญญาขันธ์)"
+++ ส่วน สภาวะรู้/ญาณ อยู่ในส่วนของ "อกิริยา (รู้เฉย ๆ/รู้ซื่อ ๆ)" ไม่ได้เป็นส่วนของ "ขันธ์" แต่ "รู้ขันธ์" เฉย ๆ
+++ ดังนั้นให้คุณ hyuga แยกอาการของ "ญาณ" ออกจาก "เจโต และ ปัญญา" ให้เรียบร้อยก่อน
+++ เมื่อ เอาใจวาง ไว้ที่ตรงนี้ได้ ก็จะพบได้เองว่า "ญาณ" คือ "ภาชนะ" ที่ทั้ง "เจโต + ปัญญา" ปรากฏ/แสดงออก ภายในภาชนะ นั่นเอง
+++ เจโต เป็น กิริยาจิต/สังขารจิต รวมทั้ง ปัญญา/อาการเข้าใจ ก็เป็น กิริยาจิต/สังขารจิต ด้วยเช่นกัน
+++ เพียงแต่ว่า "ปรากฏการณ์" ของ "จิตตน VS จิตท่าน (จิตสื่อสาร)" ปรากฏใน "ภาชนะ" แห่ง สภาวะรู้ เรียกว่า "เจโตปริยญาณ"
+++ ส่วนความเข้าใจ "ปัญญา" ในปรากฏการณ์ของ "เจโตสื่อสาร" ซึ่งก็เป็น "ขันธ์" ด้วยเช่นกัน
+++ แต่เป็นขันธ์แบบ "จิตผุด/วูปแห่งความเข้าใจ" ตรงนี้เรียกว่า "ปัญญา" ที่เข้าใจใน "เจโต" แต่คำศัพท์ เรียกว่า "ปัญญาญาณ"
+++ สรุป "เจโต VS เจโต" เรียก เจโตปริยญาณ
+++ ความเข้าใจใน เจโต เรียก "ปัญญาญาณ"
+++ ทั้ง "เจโต VS ปัญญา" ภายในภาชนะแห่ง "รู้" จะเรียกว่า "ญาณ" ทั้งหมด
+++ หาก "รู้ บริสุทธิ์เพียงพอ แล้วมีอาการ เห็น ประกอบกัน" ก็เรียกว่า "ญาณ+ทัศนะ+วิสุทธิ์" นั่นเอง
+++ การถวายทาน หรือ สัมโภชฌงค์ 7 กันแน่ ที่เป็น ฐานของ "อภิญญา 6"
+++ การทำ "กลางคืนให้เป็นกลางวัน" หรือ "การทำเตโชประทีปให้เกิดส่องทาง"
+++ มาจาก "การถวายทาน หรือ สัมโภชฌงค์ 7" ตรงนี้ คุณ hyuga ค่อย ๆ แยกแยะเอานะ
+++ ถ้า "มือถือ" หน้าจอยังใช้ได้ ก็จะ "เห็นภาพได้"
+++ ถ้า "มือถือ" ยังมีแบต หู+ตา ก็จะ "ทำงานเป็นทิป" ได้จาก ยูทูป
+++ ไปเอามาจาก "สำนักไหน" กันเนี๊ยะ
http://board.palungjit.org/8956634-post11.html
+++ ฉฬภิญโญ มีรากฐานมาจาก การใช้ "ความเป็นตน (อัตตาจิต/ตัวดู/หลุมดำ/วิญญาณขันธ์) + โอปนยิโก"
+++ ความเป็น "ตน" เมื่อมีเสถียรภาพ จะมีอาการ "ตนคือฌาน และ ฌานคือตน" อันเป็นอาการ "ท่องเที่ยวไป ประดุจนอแรด"
+++ ส่วน "ปฏิสัมภิทาญาณ" เป็นส่วน "การใช้งาน" ของ วจีจิตตะสังขาร (เป็นสังขารจิต เช่นกัน)
+++ สรุป ทุกอย่างเป็นเพียงแค่การ "เห็นขันธ์ ฝึกขันธ์ ใช้ขันธ์" เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมาก
+++ ข้อควรระวัง "อันตรายสูง" คือ "ให้เรา ใช้ขันธ์" เท่านั้น *** ตรงนี้เป็น คุณอนันต์
+++ ข้อเตือนภัย "วิปลาสสูง" คือ "อย่ายอมให้ขันธ์ ใช้เรา" *** ตรงนี้เป็น โทษมหันต์
-
เคยได้ยินชื่อนี้ไหม
พระจูฬปันถก ลองค้น
ดูว่าท่านเด่นด้านไหน
ด้านที่ท่านเด่น
จะมาคู่กับ เจโตฯเสมอ
เหมือนท่านที่ตาดีเท่าไร
หูก็จะดีเท่านั้น
ความสามารถพวกนี้
ทางปฎิบัติมันมัก
จะไปควบคู่กันปกติ
คือพูดง่ายๆว่า
ถ้าเราเด่นด้านไหน
(บางคนไม่เคยฝึกมาก็จะพบว่า
มีความสามารถด้านที่คู่กันด้วย)
อีกด้านที่คู่กัน
มันจะมาได้ของมันเอง
โดยไม่ต้องไปฝึกทั้งสองด้าน
พอเข้าใจเนาะ
ปล เล่าให้ฟังเฉยๆ
หน้า 1 ของ 2