อารมณ์อีโก้ (EGO) หรืออุปาทาน
(โดยสมเด็จองค์ปัจจุบัน)
<O:p</O:p
<O:p</O:p
พระธรรมคำสอนของพระองค์ ทรงพระเมตตาตรัสสอนไว้เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 35 ให้ผมและเพื่อนของผม (คุณสุรีพร (จ๋า) สงวนมานะศักดิ์) ฟัง ผมได้อ่านทบทวนดูแล้วเห็นว่ามีประโยชน์ เพราะเหมาะกับเหตุการณ์บ้านเมืองของประเทศไทย ซึ่งกำลังวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ เกี่ยวกับอารมณ์อีโก้หรืออุปาทานของนักการเมืองทั้งหลาย มีผลทำให้เศรษฐกิจของประเทศผันผวนเป็นธรรมดา ซึ่งสมเด็จองค์ปฐมก็ทรงตรัสไว้ว่า “ให้พิจารณาเห็นเป็นธรรมดา เพราะดวงเมืองของเมืองไทยเป็นอย่างนี้เอง จักต้องทำใจให้ยอมรับสถานการณ์ให้ได้ทุก ๆ สภาพ เพราะล้วนเป็นกฎของกรรมทั้งสิ้น”<O:p</O:p
เรื่องนี้สมเด็จองค์ปัจจุบันก็ทรงตรัสไว้เมื่อ 15 ปีก่อน ก็เพราะมีนักการเมืองเป็นต้นเหตุเช่นกัน มีผลทำให้คนไทยฆ่ากันตายไปเป็นจำนวนมาก จนในหลวงต้องออกมาห้ามทัพ เรื่องจึงสงบลงได้เกือบทันที ในปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน
ในหลวงก็ต้องออกมาปรามประชาชนของท่าน ซึ่งกำลังสร้างกรรมนำไปสู่ความฉิบหายไว้ก่อนที่จะสายเกินแก้ ให้รักความสามัคคี ให้เห็นประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลักสำคัญให้ใช้นโยบายสมานฉันท์เป็นหลัก อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่ทุกครั้งที่พระองค์ออกมาห้ามปราม หรือขอร้องก็มีผลดีทุกครั้ง ผมจึงหวังว่าในครั้งนี้ก็คงจะหรือน่าจะมีผลดีเช่นเคย ผมขอเขียนคำนำไว้ย่อ ๆ แค่นี้<O:p</O:p
<O:p</O:p
เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจและจดจำได้ง่าย ๆ จึงขอเขียนแยกออกเป็นข้อ ๆ ดังนี้
<O:p</O:p
<O:p</O:p
1. “ผู้มีอารมณ์นี้คือ บุคคลผู้มีอุดมคติ หรือมีอุดมการณ์เป็นของตนเอง แต่อารมณ์นี้หากบุคคลผู้มีความเชื่อมั่น และนำไปใช้ให้ถูกจริตของบุคคลทั่วไป ก็สามารถปลุกใจให้บุคคลทั่วไปเหล่านั้นมาร่วมแสดงอารมณ์ร่วมด้วย อย่างเช่นนักการเมืองท่านหนึ่ง เขาเอาอุดมการณ์ของเขามาเน้นในเรื่องประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย ชักชวนให้บุคคลอื่นๆ มาแสดงอารมณ์ร่วมกับเข้าได้ก็ด้วยตัวนี้
<O:p</O:p
2. “อย่าไปตำหนิใครๆ ว่าเขาโง่ ที่มีอารมณ์ร่วมกับนักการเมืองนั้น ๆ เพราะผู้ที่จะไม่มีอารมณ์ร่วมกับนักการเมืองนั้น ก็มีแต่พระอนาคามีผลขึ้นไป เจ้ามักจะมองด้านเดียวว่า ผู้ที่ร่วมชุมนุมสนับสนุนประท้วงกับนักการเมืองนั้น เป็นบุคคลกลุ่มผู้โง่เขลา แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ ในทางธรรมนั้นก็ต้องถือว่าบุคคลกลุ่มนั้นเป็นผู้มีกรรมอันเกี่ยวเนื่องกัน ถ้ามีอารมณ์ความคิดต่อเนื่องกัน เรียกว่า มโนกรรม ผู้ไปพูดแสดงความคิดต่อเนื่องกันเรียกว่า วจีกรรม ผู้ไปแสดงการกระทำต่อเนื่องกันเรียกว่า กายกรรม”
<O:p</O:p
3. “เจ้ามองอะไรเพียงด้านเดียว กล่าวคือ มักจะมีอารมณ์หลงเยี่ยงปุถุชนธรรมดาอยู่มาก เห็นบุคคลกลุ่มใดเลื่อมใสเข้าข้างนักการเมืองคนนั้น เจ้ามักตำหนิบุคคลกลุ่มนั้นว่าโง่ที่ไม่รู้ หลังฉากที่แท้จริงของนักการเมืองคนนั้น เจ้าก็คิดว่าเขาเป็นคนดี เป็นคนฉลาด กรรมทั้งสามประเภทจึงเกิดขึ้นด้วยความไม่เข้าใจในกฎแห่งกรรมของเจ้านี้ ตถาคตตรัสอยู่เสมอว่าว่า มนุษย์มีกรรม กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ คือ กรรมเป็นตัวส่งผลทำให้ต้องมาเกิด และเกิดแล้วย่อมจะหลีกหนีกรรมไปไม่พ้น ถามจริง ๆ เถิดว่า ในเมื่อกรรมเก่ายังหนีไม่พ้น เราจักไปสร้างกรรมใหม่ต่อเนื่องกับนักการเมืองคนนั้นทำไม การมีอารมณ์ต่อเนื่องกัน จะพอใจหรือไม่พอใจ ก็ล้วนเป็นการต่อกรรมกันทั้งสิ้นเข้าใจไหม”
<O:p</O:p
4. (เมื่อเราคิดว่า ที่เราพูดก็เพื่อโน้มใจคนที่เข้าใจผิด ให้มาเข้าใจถูก หลวงพ่อฤาษีท่านยังเคยพูดบ้างในบางโอกาส) พระองค์ทรงตรัสว่า “พูดเหมือนกัน แต่อารมณ์ไม่เหมือนกัน สัมภะเกสีท่านพูดแบบรักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ท่านจะพูดหรือกระทำใด ๆ แบบดูเหมือนจะตักเตือน ดุด่า หรือแย้มพรายเรื่องนักการเมืองคนนั้น ก็ด้วยอารมณ์สงเคราะห์ไม่ต้องการให้ลูก ๆ หลงผิด ตกนรกไปตามเขา การกระทำใดๆ เกี่ยวกับระเบียบวินัย เกี่ยวกับธรรมะปฏิบัติพระทุกๆองค์ ซึ่งเป็นพระจริง ๆ แล้ว ท่านต้องใช้ไม้แข็งดุด่าเพื่อจะกันไม่ให้ลูกศิษย์ต้องตกนรก”
<O:p</O:p
5. “การมีอารมณ์ร่วม ต่อเนื่องกรรมกับบุคคลที่ทำจิตให้เศร้าหมอง มีแหล่งอบายภูมิ 4 เป็นที่ไปนั้น จะยินดีหรือไม่ยินดีด้วยก็ตาม จัดได้ว่าเป็นอารมณ์อันตราย มิพึงที่จะให้อารมณ์ทั้ง 2 ประเภทนี้เกิด จะเป็นเหตุให้สูญเสียความดีในการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง”
<O:p</O:p
6. “อัตตนา โจทยัต ตานัง เอาไว้นะ ถ้าอยากทรงอารมณ์อุเบกขาให้ได้ดี จะต้องละการตำหนิดี เลว ให้ออกไปจากจิต” (หมายเหตุ หมายความว่า ให้คอยจับผิดตนเอง ให้คอยแก้ไขตนเองที่ใจตนเอง อย่าไปยุ่งกับกรรมหรือการกกระทำของผู้อื่ร หรือจริยาของผู้อื่น ภาษาไทยเป็นคำโดด ๆ จำง่าย ๆ ดีก็คืออย่าเสือกนั่นเอง)
<O:p</O:p
ต่อมาพระองค์ทรงพระเมตตาสอน การวัดผลของอารมณ์อีโก้ หรือ อุปาทาน มีความสำคัญดังนี้
<O:p</O:p
<O:p</O:p
1. “จะวัดผลได้จากการกระทบบุคคลที่มีอารมณ์ร่วม อย่างกับนักการเมืองคนนั้น ที่ฮิตติดปากคนทั้งประเทศ จะด้านดีหรือเลวก็ตาม นับได้ว่าเป็นผลต่อเนื่องจากอารมณ์นี้ ยกตัวอย่างการปลูกต้นไม้ของชาวสวน จะสมบูรณ์งามก็ดี จะแคระแกรนไปก็ดี จะเป็นโรคก็ดี นับว่าล้วนเกิดผลแล้วทั้งสิ้น ต่างกับถ้าหากต้นไม้นั้นตาย อันนั้นแหละจึงจะเรียกได้ว่าไม่มีผล”
<O:p</O:p
2. “โลกนี้จึงเต็มไปด้วยอุปาทาน เพราะคนในโลกยึดถืออุดมการณ์ เกาะโลกว่าจะสามารถผันแปรได้ตามกระแสอุดมการณ์ของตน”
<O:p</O:p
3. “เจ้าจงอย่าพึงดูแต่นักการเมือง แม้แต่นักร้อง นักดนตรี ก็แสดงอุดมการณ์ของตน เพื่อมุ่งหวังหลงยึดโลกเที่ยงทั้งสิ้น ต่างคนต่างแสดงอุดมการณ์ของตน เพื่อยังจะให้เกิดแนวร่วมของบุคคลภายนอกมาร่วมกันแสดงอารมณ์เห็นด้วยกับอุดมการณ์นั้น ๆ คนในโลกจึงว่ายวนร่วมกันอยู่ในกระแสอารมณ์อีโก้นี้ (อุปาทานหรืออุดมการณ์) ติดทุกข์ สุข สรรเสริญ ลาภ ยศ ตามอุดมการณ์ของตนไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด”
<O:p</O:p
4. “ต่างกับชาวโลกุตระ (ชาวโลกที่ต้องการหลุดพ้น) เขาจะอยู่อย่างมีจิตสำนึกว่า กิจที่ปฏิบัติตามธรรมศาสดาแห่งตถาคตนี้ยังไม่สิ้น เขาก็ใช้ความเพียรละซึ่งกิเลสแห่งลาภ ยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ ระมัดระวังอารมณ์ไม่ให้ไหลลงไปในทางต่ำ เขาใช้อารมณ์อีโก้ไปในทางแสวงหา มรรค ผล นิพพาน และกิจการใดอันเป็นแนวทางสัมมาปฏิบัติ เขาก็จะกระทำตามนั้นด้วยจิตอันแน่งแน่”
<O:p</O:p
5. “อารมณ์เดียวกันแต่เปลี่ยนจากดำเป็นขาว จากเกาะโลกกลายเป็นละโลก เห็นโลกรวมทั้งขันธโลกหรือร่างกาย หาความเที่ยงมิได้เลยอยู่เป็นนิจ มันเป็นของมันอยู่อ่างนี้เป็นปกติ อารมณ์นี้จึงสร้างโลกได้ ทำลายโลกได้ และถ้าหากใช้ให้ถูกต้องตามหลักธรรมปฏิบัติ ก็จะทำลายโลกียะ สร้างโลกุตระได้”
<O:p</O:p
6. “ที่ตถาคตตรัสมาทั้งหมดนี้ หวังว่าพวกเจ้าคงเข้าใจ อย่าหลงไปในกระแสอารมณ์ทุกข์-สุขแห่งอารมณ์อีโก้ของชาวโลกียะอีก”<O:p</O:p
หมายเหตุ ผมไปเปิดดู Dictionary ดูคำแปล Ego มีข้อความแปลไว้ดังนี้<O:p</O:p
<O:p</O:p
Ego คืออัตตา, อาตมา, ตัวของตัวเอง (ก็คืออุปาทานที่ยึดว่าตัวกูเป็นของกูนั่นเอง)<O:p</O:p
Egoism คือ การถือการกระทำของตนเอง, ของมนุษย์ก็เพื่อตนเองทั้งสิ้น, ดารเชื่อตนเอง, การเห็นแก่ตน, ความอวดดี (พระองค์จึงตรัสว่า ทุกคนล้วนมี Ego อยู่ในตนทั้งสิ้น แต่ Ego ในทางไหน ดีหรือเลว)<O:p</O:p
<O:p</O:p
ในวันต่อมา พะองค์ทรงพระเมตตามาสอนต่อ มีความสำคัญดังนี้
<O:p</O:p
<O:p</O:p
1. “Ego มีอยู่ในตัวของจิตทุกคน เป็นอารมณ์อุปาทานหรือความยึดมั่นถือมั่น”
<O:p</O:p
2. “คนเราจะได้ดีหรือเลวก็อยู่ที่ตัวนี้ เช่น ก. สอยได้ที่ 1 ในสาขาเคมีมาตลอด ใครๆก็รู้ว่า ก.เก่ง ก. ก็ยึดมั่นความเก่งนั้นไว้ตามสัญญาและตามตำรามาโดยตลอด ใครจะคัดค้านความเก่งของ ก. ก็ไม่ได้ ก.จึงยึดและปฏิบัติตามสัญญาในความรู้(ความเก่ง) ของตนไว้จนได้ผลดี เพราะการยึดมั่นในความดีของตน นี่เป็นอุปมาทางโลกทางธรรมก็เช่นกัน พระอริยะเจ้าทั้งหลายที่พระองค์สอนจนเกิดมรรคผลนั้น พระองค์ก็ต้องสอนตามอุปาทานเดิมทั้งสิ้น เข้ายึดมั่นสิ่งใด ก็จะยิ่งมีความเพียรในการทำสิ่งนั้น ๆ ให้ปรากฏ”
<O:p</O:p
3. “ถ้าหากคุณหมอไม่มีอารมณ์นี้ ไฉนสัมภะเกสีท่านจักให้หน้าที่เล่า” (หมายเหตุ สัมภะเกสีเป็นชื่อของหลวงพ่อฤาษีที่สมเด็จองค์ปัจจุบันทรงตรัสเรียกอยู่เสมอ ส่วนหน้าที่นั้นทางหมายถึง หลวงพ่อฤาษีมอบหน้าที่ตอบปัญหาธรรมะแทนท่านเมื่อท่านไม่อยู่)
<O:p</O:p
4. “ถึงจะรอบรู้ในพระไตรปิฏกอย่างท่านเจ้ากรมเสริม เหตุไฉนจึงมิได้ทำหน้าที่นี้เล่า นั่นเป็นเพราะอารมณ์ยึดมั่นในจุดนี้ไม่มี”
<O:p</O:p
5. “Ego ในแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้า Ego เต็มในจุดนั้นๆ ก็จะกระทำจุดนั้นๆ ได้ผลดี 100
เปอร์เซ็นต์”
<O:p</O:p
6. “อนึ่ง หน้าที่ทางธรรมนั้น เป็นสัตยาธิษฐานมาแต่ชาติก่อนด้วย เป็นการตั้งความปรารถนาจักรื้อขนสัตว์ให้พ้นทุกข์ แม้ว่าจะลาพุทธภูมิแล้ว ก็ยังต้องทำหน้าที่เดิมจนกว่าธาตุขันธ์จะหมดสิ้น เช่น พระมหากัจจายนะ อสีติสาวกเป็นต้น หรืออย่างสัมภะเกสีท่านผู้ซึ่งบารมีเต็มแล้ว และลาแล้ว ก็ยังทำหน้าที่ขนสรรพสัตว์เข้าถึงพระนิพพาน”
<O:p</O:p7. “แต่อารมณ์ Ego ทำอะไรจิตท่านไม่ได้ กายของท่านทำหน้าที่ไปต่างหาก จึงดูเด่นเสมือนหนึ่งหาใครเปรียบเทียบไม่ได้ ดูอารมณ์ของท่านเถิด เคยสักครั้งไหมที่ปรารภธรรมแล้วจักบอกว่า ธรรมนั้นเป็นของตน มีแต่จักบอกว่า ธรรมนั้นเป็นของตถาคตตรัสไว้อย่างนี้ จิตของท่านหาได้มีความคะนองในตน มีแต่เพลิดเพลินและปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นสุขในธรรมนั้นๆ”
<O:p</O:p
8. “อารมณ์ Ego เกิดได้เพราะมีรู้เท่าทันกองสังขารแห่งจิตและกองสังขารแห่งกาย เช่น เหยียบขี้หมา หากเราเหยียบตอนที่มันเก่ามาก จนกลายสภาพไปเป็นดินแล้ว อุปาทานยึดมั่นว่าเป็นขี้หมาก็หมดไป จิตไม่สังขารปรุงแต่งว่าขี้หมามันเหม็น-สกปรก และกล้าเหยียบย่ำได้ แต่หากมันยังทรงอยู่ในสภาพเดิมของขี้หมา อุปทานก็ยึดมั่นว่า มันเหม็น-สกปรก และไม่กล้าเหยียบ นี่แหละคืออารมณ์ที่ไม่รู้เท่าทันกองสังขาร
แห่งจิตและกายว่าหลงไปในอารมณ์ Ego”
<O:p</O:p
9. “อารมณ์ Ego จึงมีทั้งสองด้าน คือ ด้านดีซึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิและด้านเลวซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งตรงกับคำสอนของพระองค์ที่ตรัสสอนไว้ว่า “ธรรมในโลกล้วนมีอยู่เป็นคู่ทั้งสิ้น” ทุกอย่างมีเกิดแล้วก็ต้องมีดับ เช่น หลงคิดว่าคำสรรเสริญเป็นของดี แต่แท้จริงแล้วเป็นของเลว (เพราะสรรเสริญกับนินทาเป็นของคู่กัน จะเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ หรือเหมือนสุขกับทุกข์ก็เป็นของคู่กัน จะเลือกเอาอย่างเดียวไม่ได้ และทุกสิ่งในโลกล้วนเกิด-ดับ ๆ ทั้งสิ้น หรือเกิดกับตายเป็นของคู่กันอย่างแยกไม่ออก)
<O:p</O:p
10. “ตราบเมื่อจิตรู้เท่ากันกองสังขารแห่งจิต เห็นธรรมไตรลักษณ์ปรากฎเป็นปกติ ก็จะปล่อยวางอุปาทานนั้นได้ และเหยียบขี้หมาแห้งหรือดินนั้นได้อย่างสนิททั้งกายและใจ การยึดคำสรรเสริญก็เช่นกัน หากเห็นไตรลักษณ์แล้วโลกธรรม 8 จักทำอะไรจิตเราไม่ได้เลย ทุกสิ่งในโลกล้วนเกิด-ดับ ๆ อยู่อย่างนี้เป็นปกติ และทำนองเดียวกัน หากจิตไม่รู้เท่าทันกองสังขารแห่งจิต ก็จะไม่รู้ว่าโลกธรรมก็เป็นไตรลักษณ์ เกิด-ดับ ๆ อยู่เป็นปกติ จิตจึงปรุงแต่งเป็นอุปาทานยึดมั่นติดอยู่กับธรรมโลกนั้น ๆ”
<O:p</O:p
11. “การทำหน้าที่ทางธรรม จึงต้องมีสติปัญญามิบกพร่อง ต้องสมบูรณ์รู้เท่าทันโลกธรรมทั้ง 8 อย่าง ด้วยเคารพในกฎไตรลักษณญาณ จึงจะทำหน้าที่นั้น ๆ ได้อย่างเป็นสุข”
<O:p</O:p
12. “จิตที่ไม่ติดข้องในธรรมก็เหมือนกระจกเงาใส ๆ มีภาพอะไรผ่านมาก็ส่องติดได้หมด เมื่อภาพผ่านไปหรือสภาพนั้นผ่านไป ภาพต่าง ๆ ก็หาได้ติดอยู่ในกระจกใส ๆ นั้นไม่ จิตที่วิมุติก็มีอุปมาคล้าย ๆ ดังกระจกนี้ ธรรมทั้งหลายจึงมิอาจจะทำร้ายดวงจิตของท่านได้เลย”<O:p</O:p
<O:p</O:p
และทรงพระเมตตาตรัสสอนแถมท้ายไว้ ความว่า<O:p</O:p
“หากจะให้เข้าใจในกฎไตรลักษณญาณได้ดีจริง ๆ จักต้องทบทวนวิปัสสนาญาณ 9 ที่พระองค์สอนไว้เสมอ ๆ ด้วยความไม่ประมาท”
<O:p</O:p
<O:p</O:p<O:p</O:p
พิมพ์จากหนังสือ “ธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ (เล่ม 4)”<O:p</O:p
โดย พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)
<O:p</O:pรวบรวมโดย : พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p</O:p
อารมณ์อีโก้ (EGO) หรืออุปาทาน
ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 7 เมษายน 2009.
-
เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต
เข้ากับเหตุการณ์ในปัจจุบันพอดี
ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ -
1. “จะวัดผลได้จากการกระทบบุคคลที่มีอารมณ์ร่วม อย่างกับนักการเมืองคนนั้น ที่ฮิตติดปากคนทั้งประเทศ จะด้านดีหรือเลวก็ตาม นับได้ว่าเป็นผลต่อเนื่องจากอารมณ์นี้ ยกตัวอย่างการปลูกต้นไม้ของชาวสวน จะสมบูรณ์งามก็ดี จะแคระแกรนไปก็ดี จะเป็นโรคก็ดี นับว่าล้วนเกิดจากผลแล้วทั้งสิ้น ต่างกับถ้าหากต้นไม้นั้นตาย อันนั้นแหละจึงจะเรียกได้ว่าไม่มีผล”
<O:p</O:p
"นับว่าล้วนเกิดจากผลแล้วทั้งสิ้น" ตรงประโยคนี้รบกวนช่วยอธิบายได้ไหมครับ ผมยังงงอยู่ เนื่องจากผมยังเข้าใจอยู่ว่าทุกสิ่งล้วนเกิดจากเหตุ เกิดเพราะมีปัจจัยให้เกิด -
ขออนุโมทนาสาธุธรรม อย่างสูง ครับ
-
ขออนุโมทนาสาธุครับ -
หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี
*** พระพุทธเจ้าไม่เอาดี ไม่เอาชั่ว ****
สัตว์โลกห่อหุ้มเต็มไปด้วยกรรม กำลังโบกสะบัด
เราควรที่จะหยิบปัญญาในศาสนาพุทธมาพิจารณา
เพื่อลดละ ตัดกิเลสอารมณ์ของตนให้เบาบางลง
พระพุทธเจ้าไม่เอาดี ไม่เอาชั่ว
เพราะกลัวว่าต้องเกิดดี มาเอาชั่ว
เพราะกลัวว่าต้องเกิดชั่ว มาเอาดี
พระพุทธเจ้าจึงไม่เอาทั้งดี ไม่เอาทั้งชั่ว
ลองพิจารณาดู เรามุ่งหลุดพ้นแล้วเราจะเอาอะไร !!!
- " หนุมาน ผู้นำสาร " -
เวลา ไม่ทำให้คนดีหรือเลว
ประเทศ ไม่ทำให้คนดีหรือเลว
การเมืองไม่ทำให้คนดีหรือเลว
สีต่างๆไม่ทำให้คนดีหรือเลว
คนไม่มี ศีลธรรมประจำตน ไม่มี หิริโอตัปป ทำให้คนเป็นคนเลวได้ -
ขอบคุณค่ะคุณสำหรับเจ้าของกระทู้เรื่อง ego
;aa34pig_cryy2
ขอบคุณค่ะ ที่ตักเตือน ผู้ใหญ่ตักเตือนผู้น้อยย่อมน้อมรับ
ขออนุญาตพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนะค่ะ
- ego มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ชอบย่อมถูกเบี่ยงเบนความประพฤติเป็นชั่วได้ยาก เหมาะที่จะใช้
กับการบังคับบัญชาคนหมู่มากให้อยู่ในกรอบ หรือโน้มน้าวใจคน
ให้ไปในทางที่ดี
ข้อเสีย คือ ถ้าผู้มี ego เป็นผู้ประพฤติไม่ดี ก็ยากที่จะดีได้ เพราะ
ถือว่าตนเองถูก ไม่เหมาะที่จะใช้กับการบริหารผู้ที่มีคุณวุฒิ และ
วัยวุฒิสูงกว่า เพราะคนกลุ่มนี้ต้องใช้วิธีอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ใช้
ego แต่ต้องใช้EQ + IQ แทน
;aa44thaxx:z3 -
อืม เดี๋ยวนี้ คำว่า Ego ปัจจุบัน ถูกใช้แต่ในทางที่ไม่ดีนะคะ ทั้งๆที่ในจิตวิทยาตามทฤษฎีของซิกมันด์ ฟรอยด์แล้ว เป็นตัวกลางๆที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ไม่ให้สุดโต่ง จาก Id(อ่านว่า อิด เป็นตัวแทนความต้องการที่เห็นแก่ตัวของมนุษย์ = ด้านไม่ดี) และ Superego(ศีลธรรม หรือ จริยธรรม = ด้านดี แต่ถ้ามีมากเกินไป ก็จะทำให้มีพฤติกรรมที่ผิดปกติได้ เช่น เมื่อตนเองทำผิดแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะเศร้าเสียใจและตำหนิตนเองอย่างรุนแรง)
Ego จะเปรียบเสมือนผู้ใหญ่ที่มองโลกตามความเป็นจริงมากที่สุด ทำให้มนุษย์มีพฤติกรรมที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ขอบคุณมากนะคะ สำหรับบทความนี้ คิดว่าตรงกับคติสอนใจที่เคยอ่านเจอว่า
"เพ่งความผิดของตนเอง...เป็นบัณฑิต
เพ่งว่าเป็นความผิดของผู้อื่น...เป็นพาล" -
ขอให้ประชาชนคนไทยทุก ทุก คน เข้าใจได้โดยง่ายดายด้วยเทอญ
และชำระจิตใจตนเองให้ใสอยู่เสมอ เสมอ เทอญ สาธุ สาธุ สาธุ -
อนุโมทนาครับ กำลังหวั่นไหวกับการเมืองอยู่เชียวครับ ขอบคุณมากๆ ครับ
-
“ไม่มีต้นโพธิ์ ทั้งไม่มีกระจกเงาอันใสสะอาด เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่าแล้ว ฝุ่นจะลงจับอะไร?”
-
อนุโมทนาอย่างยิ่งครับ สาธุ พระพุทธองค์สอนว่าอย่ายึดมั่นถือมั่น
-
กราบขอบพระคุณครับ เปรียบดั่งแสงสว่างจ้า นำทางให้จิตกลับมาสู่ทางแห่งมรรคเพื่อถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบัน สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนาครับ
-
ลิงค์ธรรมะในเว็บต่างๆของหลวงพ่อ ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
�Ѵ�ѹ����� (��ҫا) - ��¡�÷�� 1 ˹ѧ������ (��˹��·���֡�Ѻᢡ)หนังสือธรรมะ (จำหน่ายที่ตึกรับแขก)
<O:p></O:p>
�Ѵ�ѹ����� (��ҫا) - ��¡�÷�� 2 �մ� - �իմո���� (��˹��·���֡�Ѻᢡ)ซีดี - วีซีดีธรรมะ (จำหน่ายที่ตึกรับแขก)<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
�Ѵ�ѹ����� (��ҫا) - ����մդ����ǧ��ͨҡ����䫴���ҧ� รวมซีดีคำสอนหลวงพ่อจากเว็บไซด์ต่างๆ<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
�Ѵ�ѹ����� (��ҫا)บทสวดมนต์<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
�Ѵ�ѹ����� (��ҫا)สมบัติพ่อให้<O:p></O:p>
<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
http://palungjit.org/threads/เธฃเธงเธกเธซเธเธฑเธเธชเธทเธญเธเธณเธชเธญเธเธเธญเธเธซเธฅเธงเธเธเนเธญเธเธฃเธฐเธฃเธฒเธเธเธฃเธซเธกเธขเธฒเธ.24126/ <O:p></O:p>
รวมหนังสือคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน<O:p></O:p>
<O:p></O:p>
<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
http://palungjit.org/threads/สารบัญ-รวมเรื่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำและ“ธรรมะที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์-”.124421/ <O:p></O:p>
รวมเรื่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำและ“ธรรมะที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ ”<O:p></O:p>
<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
BlogGang.com : : zeedhama - �ٹ���ط���ѷ�� �.��ҹ��� �.��к��� <O:p></O:p>
ศูนย์พุทธศรัทธา อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี<O:p></O:p>
<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
������Ҹ� <O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
ชมรมสมาธิ<O:p></O:p>
<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
���§���� <O:p></O:p>
เสียงคำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และ แจก ซีดี<O:p></O:p>
<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
˹ѧ���: ����ѵ���ǧ��ͻҹ<O:p></O:p>
ประวัติหลวงพ่อปาน เขียนโดยหลวงพ่อ<O:p></O:p>
<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
พระธรรมเทศนา และ คำสอน ของ หลวงพ่อ พระมหาวีระ ถาวโร ( หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ) ดูแลโดย อินทราพงษ์ <O:p></O:p>
เสียงคำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และขอ ซีดีได้ครับ<O:p></O:p>
<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
Scripturn | Website Scripts <O:p></O:p>
วีดีโอ คำสอนหลวงพ่อ<O:p></O:p>
<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
http://www.youtube.com/profileuser=alinodreamworld&view=videos&start=20<O:p></O:p>
วีดีโอ คำสอนหลวงพ่อ<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
http://palungjit.org/threads/เธชเธฒเธฃเธเธฑเธ-เธฃเธงเธกเธเธ—เธเธงเธฒเธก-เธเธญเธเธซเธฅเธงเธเธเนเธญ-เธ—เธตเนเธเธกเน€เธเธขเนเธเธชเนเธงเน-เธเธฐเนเธ”เนเธซเธฒเธเนเธฒเธขเน.119666/ <O:p></O:p>
รวมบทความของหลวงพ่อ ที่joezaaaa โพสไว้จะได้หาง่ายๆ<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
http://palungjit.org/threads/รวมคำสอนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ-99836.html <O:p></O:p>
รวมคำสอนหลวงพ่อ โพสโดยคุณ mahaasia<O:p></O:p>
<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p></O:p>
และสุดท้ายครับ<O:p></O:p>
http://palungjit.org/forums/รวมคําสอนเรื่องนิพพานของพระผู้ปฎิบัติดี-[.10/FONT]115676.html <O:p></O:p>
รวมคําสอนเรื่องนิพพานของพระผู้ปฎิบัติดี โพสโดยคุณ ลูกวัดท่าซุง<O:p></O:p>
<O:p></O:p> -
ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงกับพระธรรมอันมีค่ายิ่งจากองค์พระศาสดาค่ะ