พระมาฉันจังหันวันละ ๓๗-๓๘-๓๙-๔๐ ที่อยู่ในป่าไม่ฉันมีเยอะ เป็นประจำอยู่ในป่า องค์ไหนไม่ฉันก็ไม่ให้ท่านออกมาเกี่ยวข้องกับงานส่วนรวม ให้ทำประโยคภาวนาตลอดเลย เราเปิดโอกาสให้หมด องค์ไหนที่ไม่ได้มาฉันนี้ไม่ให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับงานส่วนรวม ให้เอางานส่วนตัว ๆ ตลอดเลย เรียกว่าอย่างนี้เรามุ่งมากทีเดียว อะไรจะหรู ๆ ฟู่ ๆ ฟ่า ๆ มองดูธรรมกับสิ่งฟู่ ๆ ฟ่า ๆ มันดูกันไม่ได้จะว่าไง นั่นละธรรมเลิศขนาดนั้นให้ดูเอานะ กองขี้มูตรขี้คูถเต็มบ้านเต็มเมือง พวกกิมิชาติ พวกหนอนพวกแมลงวันมันปีนมันตอมกันหึ่ง ๆ พวกเรานี่คือพวกหนอนรู้ไหม ตอมหึ่ง ๆ อยู่กับของเศษของเดน ตายไปแล้วชิ้นหนึ่งเท่านี้ก็ไม่เกาะหัวใจพอพยุงให้สุข ธรรมนี้มีนิดเท่านี้พุ่งเลย จำให้ดีนะ
นี่เราจวนจะตายแล้วเราเตือนเรื่อย ๆ ยิ่งเร่งเข้าในการเตือน พี่น้องชาวพุทธเราอย่ามาขยี้ขยำกับมูตรกับคูถ ความโลภ ราคะตัณหา นี่พวกมูตรพวกคูถมันทำคนให้จมมามากเท่าไรแล้ว พระพุทธเจ้าประกาศโฆษณามากี่พระองค์ เป็นกัปเป็นกัลป์ บอกแต่โทษของมันอย่างนี้ มันก็ไม่ยอมฟังนะพวกเรา มันดื้อนะ พวกกิมิชาติ พวกหนอนพวกแมลงวันนี่มันชอบอย่างนั้นแหละ อันไหนที่เลิศเลอไม่สนใจ เราพูดแล้วเราสลดสังเวชนะ มีแต่พูดคนเดียว ๆ แล้วพวกนี้ละยังจะมาโจมตีอีกนะ หลวงตานี้เป็นบ้า เราลากคอมันขึ้นจากบ้ายังไม่ยอมฟังเสียง นั่นเห็นไหมมันดื้อไหมกิเลส ดื้อที่สุดคือกิเลส เป็นเครื่องต่อต้านกับธรรมตลอดมา ๆ
พระพุทธเจ้าพระองค์ใดมาตรัสรู้ก็มาดึงไป ๆ ทีละเล็กละน้อย นอกนั้นกิเลสกวาดเข้ามาไว้หมดเลย สลดสังเวชนะ พากันตื่นเนื้อตื่นตัว อย่ามาชินชากับวัดนะ ให้ดูหัวใจเจ้าของ มันสร้างฟืนสร้างไฟอยู่ตลอดเวลาในนั้นละ ด้วยความสำคัญว่าจะร่ำจะรวยจะสวยจะงาม มันสำคัญหลอกไปเรื่อย ๆ นะ มีแต่คนหมดหวัง ๆ เต็มบ้านเต็มเมือง มีแต่ไฟเผาหัวใจมัน พอตื่นขึ้นมาหวังแล้ว ๆ จนกระทั่งถึงค่ำนอนหลับ หลับด้วยความหมดหวังนั้นคือผลรายได้ในวันนั้น ๆ ความหมดหวัง ๆ นี่จำให้ดีนะ นี่กิเลสหลอกคนหลอกให้หมดหวัง ๆ
ธรรมนี้เสริมตลอด ได้มากได้น้อยมีหวัง ๆ นี้คือธรรม จำเอา เรามีหวังเหมือนกันแหละ พอให้พรเสร็จแล้วนี้ก็จะหวังฉันจังหัน เพราะอาหารมันมากต่อมากนะวัดป่าบ้านตาด ไปที่ไหนเราเที่ยวทั่วประเทศไทย เมื่อมันเป็นยังไงก็ต้องพูดอย่างนั้น รู้สึกว่าวัดป่าบ้านตาดพิลึกจริง ๆ เรื่องอาหารมากจริง ๆ เราเที่ยวทั่วประเทศไทย ไม่ใช่เอามาโม้มาคุย เหยียบนั้นยกนี้นะ เราเอาธรรมมาพูด อาหารมาก ๆ เราก็วิตกกับพระ กลัวพระจะฟาดกันมาก ๆ แล้วนอนแผ่สองสลึงนี่ซิ เราขี้เกียจจะไปหาไม้มาไล่ตีพระตามเสื่อตามหมอน จากนี้ก็จะต้องได้เข้าไปในครัว ไปไล่ตีในครัวอีก ไม้ในป่าสั่งสมไว้มาก ๆ น่าจะไม่พอมาเป็นไม้ตีคน กินมาก นอนมาก ขี้เกียจมาก นอนเกลื่อนอยู่ มีแต่หมูขึ้นเขียง ๆ หลวงตาให้พรเสร็จแล้วก็จะเริ่มขึ้นเขียง อันนั้นหอม อันนี้หวานเสียก่อน จากนั้นก็ครอก ๆ เสียงนั้นเก่งกว่าเพื่อน เอาละพอ ให้พร
เสียงธรรม เลือกปฏิบัติให้เหมาะกับจริต
ในห้อง 'ธรรมเพื่อความหลุดพ้น' ตั้งกระทู้โดย J.Sayamol, 19 มิถุนายน 2011.
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ถ้าพี่น้องทั้งหลายเอาศาสนาเป็นเครื่องนำตลอดนะ ศาสนานำที่ตรงไหนจะเห็นความสง่างาม ความสมบูรณ์พูนผล ความสงบร่มเย็นไปโดยลำดับลำดา นี่ศาสนานำ จะมีแต่ความเป็นสิริมงคลแก่เรา แม้ที่สุดขณะที่เรานั่งอยู่ที่ใดก็ตาม จิตใจเราสัมผัสสัมพันธ์กับคำว่าพุทโธ เพียงคำเดียวเท่านี้ กระเทือนพระพุทธเจ้าทั้งหลายทุก ๆ พระองค์ จึงเทียบเท่ากับเม็ดหินเม็ดทราย มากไหมพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ ที่อุบัติขึ้นมานี้ คืออุบัติขึ้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรจนกระทั่งป่านนี้จะไม่มากได้ยังไง เราระลึกพุทโธคำเดียวกระเทือนหมดในธรรมธาตุ อันนี้เรียกว่าธรรมธาตุ พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้แล้วเป็นธรรมธาตุ พี่น้องทั้งหลายเคยได้ยินไหมธรรมธาตุ ฟังซิ ถ้าเป็นอุตริก็มีหลวงตาบัวองค์เดียวอุตรินะ ถ้าว่าอุตริก็อุตริอย่างอาจหาญเสียด้วยไม่มีสะทกสะท้าน ใครจะมาค้านไม่ฟังเสียงเลย ค้านกันมาก ๆ จะตีปากอยู่ตรงนั้นเอง ประกาศอยู่ไม่ฟังเหรอ ยังหลับตาฟังอยู่เหรอ
อะไรจะเลิศยิ่งกว่าธรรม นี้ประกาศป้าง ๆ ตลอดเวลานะ จวนจะตายเท่าไรยิ่งเป็นห่วงมากเข้าโดยลำดับไม่ใช่ธรรมดานะ แทนที่จะมาห่วงสังขารร่างกายกลัวความเป็นความตายอย่างที่โลกวุ่นวายกันนี้ เราไม่มีเราบอกตรง ๆ เลย มีแต่ห่วงพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย เวลานี้เครื่องมือมันสึกมันหรอเข้าไปเป็นลำดับ มีแต่ผลลบประจำ อิริยาบถทั้งสี่ พายืนพาเดินพานั่งพานอน เพื่อบรรเทาความบกพร่องของธาตุขันธ์นั่นเอง เราจึงเป็นห่วงมากนะ อย่างเทศน์เดี๋ยวนี้ก็เอาปากเทศน์เห็นไหมนี่ เครื่องมือ อย่างนี้ละ เสียงออกมาจากปาก นี่ก็คือเครื่องมือ พออันนี้ดับไปแล้วเสียงนี้ก็ไม่มี หายเงียบไปเลย เสียงหายเงียบ
เราจึงได้อุตส่าห์พยายามสมบุกสมบัน โห เป็นทุกข์แสนสาหัส เรื่องการขวนขวายหาธรรมมาแจกแจงพี่น้องทั้งหลายมาเป็นเวลาสามปีนี้นะ ที่ออกสนามว่างั้นเลย นี่เรียกว่าออกสนาม นำผลประโยชน์แห่งการปฏิบัติธรรมมาประกาศให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วถึงกัน ในนามที่เราเป็นชาวพุทธและรักชาติไทยด้วยกัน จึงได้นำมาประกาศ ให้นำพุทธศาสนาของเรานี้กู้หัวใจเรากู้ชาติไทยเราขึ้น ด้วยความเสียสละทุกคน ๆ เพราะธรรมะนี้เลิศเลอแล้ว จะขึ้นได้เลยถ้าอุตส่าห์พยายามตามธรรมนี้ ยังไงขึ้นได้ ชี้นิ้วเลย จะจนก็จนเพื่อจะมั่งมีศรีสุข ถ้าให้เป็นไปตามฟืนตามไฟที่มันเผาบ้านเผาเมืองมาตลอดนี้ จะจมไปโดยลำดับนะ ให้พากันตื่นเนื้อตื่นตัว ไม่ตื่นไม่ได้ ชาติไทยไม่ตื่นชาติไหนจะตื่น ชาติไทยเป็นลูกชาวพุทธนี่วะ
นี่ละที่ได้พยายามขวนขวายมาสอนพี่น้องทั้งหลาย เราไม่ได้เคยคิดแม้เม็ดหินเม็ดทรายเลยว่า ใครจะมาตำหนิติเตียนยังไง ๆ ว่าเรานี้พูดผิดไปเราไม่มีเลย ฟังแต่ว่าไม่มีเลยซิน่ะ เมื่อเป็นเช่นนั้นคำว่าไม่มีเลยจึงออกด้วยความกล้าหาญทุกด้านทุกทาง ไม่สนใจจะหาใครมาเป็นพยานหลักฐานแหละ ความจริงนี้เต็มส่วนแล้ว ๆ ในหัวใจ ในธรรมทุกขั้น ๆ ที่จะนำมาสงเคราะห์โลก เราพูดจริง ๆ เราจึงไม่เคยสะทกสะท้าน คำไหนที่เป็นคำของเราพูดออกไปแล้วเอาขึ้นเวทีได้เลยบอก
เพราะฉะนั้นจึงได้เตือนทางหนังสือพิมพ์เขา บางทีก็เป็นธรรมดาของเขาด้วยความเจตนาหวังดี บูชาครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพเลื่อมใส ก็มียกยอบ้าง ความยกยอนั้นเราไม่ได้ยกยอเรา แต่เขายกยอเรา เราก็ได้ขู่เขาบ้าง อย่านำไปพูดนะว่างั้นเลย ให้นำเฉพาะคำของหลวงตาที่ออก พอออกจากปากนี้แล้วขึ้นเวทีได้เลย ใครมาถามปั๊บนี้จะตอบทันทีเลย แต่อันไหนที่ไม่ใช่เป็นคำหลวงตาออกมา จะเป็นความชมเชยสรรเสริญ ความตำหนิติฉินนินทาก็ตาม อันนี้ปลอมทั้งนั้นว่างั้นเลย เราจึงไม่อยากให้นำออก เพราะเราเอาของจริงทั้งนั้นออก ไม่ได้เอาของปลอมออก
สะเทือนสะท้านหวั่นไหวโลกมานานเท่าไรธรรม เฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี้ก็ ๒,๕๐๐ แล้วเราตื่นเนื้อตื่นตัวแล้วยัง ธรรมมีอยู่ในจิตใจมากน้อยเพียงไรก็ตาม ขณะนั้น ๆ จะเป็นสิริมงคลประจำ คำว่าพุทธะก็พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์มารวมตรัสรู้ปึ๋งนี้ก็มาเป็นธรรมธาตุ พระสงฆ์ตรัสรู้ธรรมปึ๋งก็เข้าไปสู่ธรรมธาตุ ธรรมธาตุเป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งหลาย จึงเรียกว่าครอบโลกธาตุเลย เป็นไวพจน์ของกันก็คือ มหานิพพาน มหาวิมุตติ แต่ครั้นแล้วก็ไม่พ้นที่ว่า ธรรมธาตุ เท่านั้นครอบหมดเลย นี่คือธรรมธาตุ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ลงในอันเดียวกันหมดเลย หายสงสัยตรงนี้
จ้าขึ้นในหัวใจดูซิน่ะ มันเป็นในหัวใจใด หัวใจเป็นนักรู้ทำไมจะไม่รู้ มันรู้ด้วยกันทุกคน ตั้งแต่เรียน กอไก่กอกา เรายังจำได้รู้ได้ในกอไก่กอกา ทำไมเรียนอรรถเรียนธรรม รู้อรรถรู้ธรรมอย่างประจักษ์ใจจะพูดไม่ได้มีอย่างเหรอ นี่เราก็พยายามเต็มกำลังความสามารถกับพี่น้องชาวไทยเรา ไม่ได้ห่วงใยในชีวิตจิตใจของเจ้าของเลย ไม่มี เราบอกไม่มี มีแต่ความห่วงใยประชาชนพี่น้องชาวพุทธเราและสัตวโลกทั่ว ๆ ไปเท่านั้นเอง อยากให้ได้มียิบ ๆ แย็บ ๆ ในอรรถในธรรมพอเป็นสิริมงคลแก่หัวใจบ้าง อันนี้เลิศจริง ๆ ไม่ใช่เลิศเล็กน้อยนะ ธรรมนี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว ในสามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรมีแต่กองมูตรกองคูถทั้งนั้น
สามแดนโลกธาตุ คือ กองเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งหามไปด้วยกองทุกข์ตลอดเวลา อยู่ในสามแดนโลกธาตุนี่เท่านั้น ออกจากนี้ไปถึงนิพพาน หรือธรรมธาตุแล้วไม่มี มีแต่จะพูดว่าเลิศเลอก็เลยเสีย พูดอะไรก็เลิศเลยเสีย คือเลยสมมุติไปหมดแล้ว สมมุติเอื้อมไม่ถึง จะสูงขนาดไหนอันนั้นก็เลยอยู่ตลอดเวลา เพราะอันนี้เป็นสมมุติ ๆ สูงขนาดไหนก็สูงสมมุติ ๆ อันนั้นวิมุตติครอบไว้ตลอด ๆ สูงอยู่อย่างนั้น
ใจสำคัญนะ ใครอย่ามาคาดมาหมายด้นเดาเรื่องใจนะ เวลาโง่ก็เห็นกันอยู่อย่างนี้ละจิตดวงนี้ สิ่งที่พาให้โง่ให้มืดให้ดำมันปิดใจอยู่นั่น ใจเป็นนักรู้ รู้ก็รู้อยู่ในกรอบของกิเลสซึ่งเป็นตัวสอนจิตให้โง่ ปิดไว้ดำเหมือนอย่างแก้วครอบไฟฟ้าเรา ไฟฟ้าจะกี่แรงเทียนก็ เอ้าฟาดลงไป แก้วครอบดำ ๆ ปิดปึ๊บเข้าไปเท่านั้นไม่มีความหมาย ไฟฟ้าที่สว่างจ้าอยู่ในหลอดไฟนั้นมีความหมายอะไร พอแก้วครอบดำ ๆ นี้ปิดปึ๊บเดียวเท่านั้นก็ไม่มีความหมาย นี่ละกิเลสปิดหัวใจสัตวโลกเป็นอย่างนี้เองไม่เป็นอย่างอื่น
ทีนี้คอยชำระสะสางซักฟอกมา ขัดนั้นขัดนี้มา ค่อยมีวี่แววเข้ามา นั่นละธรรมแทรกขึ้นมาขัดเกลา นั่นละเรียกว่าบำเพ็ญธรรม ผลแห่งการบำเพ็ญธรรมก็คือความสว่างไสวยิบ ๆ แย็บ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ เรื่องธรรมชาตินั้นจ้าอยู่อย่างนั้นแล้ว ขัดที่มันปิดบังนั้นออก ธรรมชาตินั้นไม่ต้องขัด ขอให้เปิดนี้ออกเถอะมากน้อย จะส่องแสงออกมาทันที ๆ ด้วยความสว่างของตน ถ้าเปิดหมดเสียจริง ๆ ไม่มีอะไรเหลือแล้ว อะไรปิดในโลกนี้ ก็มีแต่แก้วครอบคือสามแดนโลกธาตุนี้เป็นเรื่องของสมมุติ เป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมดมันครอบหัวใจดวงนี้ไว้ พออันนี้แตกกระจายออกไปแล้วผางหมดเลย นั่นน่ะเป็นยังไงต่างกันไหม
นั่นละท่านผู้รู้ท่านรู้อย่างนั้นนี่นะ ท่านไม่ได้มาสอนแบบลูบ ๆ คลำ ๆ มาโกหกโลกนะ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ไม่ใช่พระพุทธเจ้าโกหกโลก สรณะของเราพระสงฆ์สาวกที่รู้ตามพระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้โกหกโลก เป็นผู้เปิดโลกที่มืดมัวนี้ออกจากหัวใจให้สว่างกระจ่างแจ้งต่อผู้บำเพ็ญธรรม ตั้งใจปฏิบัตินะ
เมื่อเช้านี้ก็พูดถึงเรื่องอาหาร อาหารวัดป่าบ้านตาดนี่มากตลอด เราก็บอก บอกตามความจริงอย่างนี้ละนะ เรานี่มันนักเที่ยวทั่วประเทศไทย ทั่วจริง ๆ ภาคไหนภาคเราไม่ได้ไป ไปทั่วประเทศไทยจะว่าไง ไปที่ไหนก็เห็น มีมากมีน้อยเห็นเป็นธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่วัดป่าบ้านตาดรู้สึกจะเด่นอยู่เรื่อย ๆ เด่นตลอดมานะ เราก็เอาคำนี้มาพูดตามหลักความจริง ซึ่งเราได้เคยผ่านมาเรียบร้อยแล้ว ทีนี้เวลาอาหารมาก ๆ ก็ภาคภูมิใจกับประชาชนญาติโยมที่บริจาคนี้มีบุญมีกุศลมากน้อยเพียงไร นี่เราภาคภูมิใจตอนนี้ ที่มาเสียก็มาเสียฝ่ายเราเอง ฝ่ายเราคือพระเณรนี้กินมาก ๆ จะออกท่าไหนน่า มันทำให้คิดนะ มันออกทางหมอนหรือทางเสื่อ ทางจงกรมมันเห็นหรือไม่นา ก็คิดอีก
คือธรรมดากินมากนี้มันง่วงหนึ่ง เมื่อง่วงแล้วก็อยากนอน นอนมาก ขี้เกียจมาก นี่เวลาบรรจุน้ำมันนี้เข้าไปแทนที่รถจะพาวิ่งอย่างสะดวกสบาย มันกลับแช่อยู่ในถังน้ำมันอันนี้ ครอก ๆ แครก ๆ อยู่ตามเสื่อตามหมอน ไปที่ไหนได้ยินเสียงครอก ๆ แครก ๆ เราเลยจะเป็นโรคประสาท เป็นยังไงหลวงตาจึงจะเป็นโรคประสาท โอ๋ย ไปที่ไหนได้ยินเสียงครอก ๆ แครก ๆ นึกว่าเสียงกระรอกมันร้อง มันเสียงกรน..คน มันยังไงกันทั่ววัดทั่ววาไปที่ไหน เราเลยจะเป็นโรคประสาทหลวงตาบัวน่ะ ไปที่ไหนได้ยินเสียงครอก ๆ แครก ๆ เราเลี้ยงกระจ้อน กระแตไว้ก็ไม่ได้ยินเสียงพอให้ตื่นนั้น ครั้นตื่นทีไรฟังไป ๆ มันมีแต่เสียงกรนครอก ๆ แครก ๆ จากการกินอิ่มแล้ว ขี้เกียจมาก ๆ นอนหลับมาก ๆ ไปเสีย มันมีไหมแถวนี้น่ะ พิลึกนะ
พอมีอาหารมาก ๆ ทำให้เป็นห่วง ทำให้เป็นห่วงคืออะไร อันนี้ก็เคยฟัดมาแล้ว เป็นสิ่งที่เราผ่านมาแล้วทั้งนั้น เวลามีอาหารมาก ลิ้นกับปากมันเห็นอาหารมันขยับใส่เลย ถ้าเป็นรถไม่ต้องติดเครื่องและไม่ต้องเหยียบคันเร่ง มันจะเข้าชนเลย มันดึงดูดกัน อาหารกับลิ้นกับปากมันดึงดูดกันอย่างนั้น ครั้นว่าดึงดูดแล้ว ดึงดูด ๆ ทะลุเลย ฟาดจนหมอนขาดทะลุไปอีก เสื่อขาดทะลุไปเลย มันไม่ได้ถอยนะ ถ้าลงมันได้ดึงดูดมาก ๆ เป็นอย่างนั้นนะ
นี่ละเอามาเทียบซิปฏิบัติตัว ดูหัวใจตลอดเวลา อยู่ในวิสัยที่จะดู-ดูตลอดเวลา สิ่งอะไรที่มาเกี่ยวข้องจะหวังให้เทิดทูนทางด้านจิตใจโดยเฉพาะ การอยู่การกินการใช้การสอยหลับนอนต่าง ๆ เป็นเครื่องพยุงกันขนาดไหน แล้วจะทำส่วนไหนเสียต้องเทียบตลอดเวลา นี่ก็มาลงในเรื่องอาหาร วันไหนอาหารมากอาหารดีตามสมมุตินิยมแล้ว ลิ้นกับปากวันนั้นมันจะพันกันตลอดเวลา เป็นมิตรสหายกันไม่แยกกันลิ้นกับปาก ท้องก็ไม่พอ ทางหนึ่งมันคว้าหาย่ามทางนี้ ทางซ้ายคว้าหาย่ามทางนี้ เอามาสะพายทั้งสองบ่า ตรงกลางนี้เป็นอาหารเต็มท้องแล้ว งัดจากบาตรมาอีกใส่ย่ามสะพายทางบ่าซ้าย คว้าจากบาตรมาอีกมาใส่ย่ามสะพายทางบ่าขวา ไปนี้แน่นปึ๋งเสียงดังอืด ๆ มันหนัก อย่างนี้ละรถมันบรรทุกของหนัก ทีนี้เลยหนักไปทางอย่างว่า มีแต่จะจม ๆ ภาวนาไม่เป็นท่า นั่น
คือจับตลอดนะ ผู้จะภาวนาต้องสังเกตตัวเอง นี้เราพูดมาเพื่อเป็นคตินะ ถ้าพูดธรรมดามันก็ไม่ถึงใจ ต้องมีอันนั้นมีอันนี้มีกระตุกบ้างอะไรบ้างถึงได้ตื่นบ้างคนเรา นี่พูดถึงเรื่องอาหาร เวลามีมาก ๆ แต่สำหรับพระเณรท่านก็ฝึกทรมานของท่านอยู่ตลอดเวลามาแล้ว องค์มาใหม่หรืออะไร ๆ ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว กลัวมันจะไปจมเสียหมดน่ะซีเราถึงกระตุกเอาไว้ อย่าลงหมดตัวนะ ให้ลงพอมองเห็นขาบ้างเพื่อจะได้จับขาลากขึ้นมา ไม่งั้นมันจะจมหมดทั้งตัว ความขี้เกียจขี้คร้านความนอนไม่เอาไหน เรียกว่ามันจะลากลงหมดทั้งตัว จึงบอกให้มีขาชี้ฟ้าไว้บ้าง เพื่อผู้ช่วยเหลือจะได้จับขาลากขึ้นมา มันจะไม่หมดตัว
พวกเรานี่พวกหมดตัว ดีไม่ดีมันอยากได้สิบขานู่น จมด้วยกันหมด สิบขาจมด้วยกันเท่าไรจมด้วยกัน เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าอย่างน้อยให้แบ่งไว้ขาหนึ่งพอได้จับฉุดขึ้นมา ทางต่ำกิเลสมันเร็วขนาดนั้นนะความเทียบ คือที่มันจะเอาเรามันเร็วที่สุดนะ ทีนี้เราจะฉุดมันเราต้องมีสติสตังระมัดระวังอย่างนี้ ฉันมากเป็นยังไงรู้ชัดเจนเลย ทุกอย่างมานั้นหมดเรื่องไม่เป็นท่า ลดลงเป็นยังไงคอยดู ลดลงเป็นยังไงดี นี่สำหรับนิสัยของแต่ละท่าน ๆ
บางท่าน เช่นอย่างอดนอนดี อดไปเท่าไรท่านยิ่งดี ท่านก็หนักทางนั้น ผ่อนอาหารดีท่านมักจะผ่อนเสมอเพราะเป็นผลดี จับติด ๆ เรียกว่าผู้หาสารประโยชน์แก่ตัวเองด้วยความสังเกตในการบำเพ็ญตน เป็นอย่างนั้นนะ
วิธีการต่าง ๆ ที่ท่านสอนไว้ในธุดงค์ ๑๓ เป็นพื้นฐานนั้น ท่านสอนไว้เพื่อพระจะถูกจริตนิสัยในข้อใดบ้างเพื่อแยกไปปฏิบัติ ๆ แต่หลักใหญ่เป็นพื้นฐานก็คือ รุกฺขมูลเสนาสนํ อยู่ป่าช้าป่ารกชัฏนี้เป็นพื้นฐาน ไม่มีในธุดงค์ก็มีในอนุศาสน์เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่แยกเป็นธุดงควัตรที่จะเอาไปปฏิบัติให้เหมาะสมกับจริตนิสัยของตน เช่นอย่างการหลับการนอน การพักผ่อนต่าง ๆ การขบการฉันให้พิจารณาเอง เหล่านี้อยู่ในธุดงค์เหล่านั้นทั้งนั้น ถ้าหากว่าองค์ไหนถูกทางไหนก็ให้ยึด ๆ ให้เกาะอันนั้น แล้วก็จะก้าวเดินได้สะดวก ๆ ไปเรื่อย ๆ
การทำความเพียรไม่สังเกตเจ้าของไม่เกิดประโยชน์นะ ต้องใช้ความพินิจพิจารณาเสมอ สักแต่ว่าเดินจงกรม สักแต่ว่านั่ง แล้วไม่ได้คิดอ่านไตร่ตรองอะไรเลย มันก็ไม่ผิดอะไรเลยกับขอนซุง ที่มันกลิ้งไปแล้วทิ้งเป็นท่อนเอาไว้อย่างนั้นแหละ ถ้าผู้มีสติปัญญาก็พลิกไปพลิกมาแล้วขอนซุงนั้นควรจะทำยังไง พลิกไปทางไหนเรื่องใด ๆ จะทำประโยชน์แก่ไม้ซุงก็เป็นประโยชน์ขึ้นมา ความเพียรของเราสักแต่ว่าทำไม่ได้นะ ต้องให้มีสติพินิจพิจารณาไตร่ตรองดูผลงานของตัวเองจึงเรียกว่าผู้ทำความเพียร ก้าวได้ง่ายผู้นี้นะ
นี่ได้ผ่านมาอย่างโชกโชนจึงพูดได้เต็มปาก ๆ ทุกอย่างในวิธีการทรมานตัวเอง ทุกอย่างที่ทำไป เดินจงกรมฟาดมันกี่ชั่วโมง แต่เราเดินจงกรมเราไม่เคยเดินตลอดรุ่งนะ เราก็ยอมรับว่าเราไม่เคยเดินตลอดรุ่ง ไอ้ ๕-๖-๗-๘ ชั่วโมงไม่ต้องพูดแหละ ระยะ ๓ ชั่วโมงนี้เป็นพื้นฐานเลย ๒-๓ ชั่วโมงนี้เรียกว่าย่อม ๆ ขนาด ๒-๓ ชั่วโมงนี้ย่อม ๆ ให้พอดีก็ ๔-๕ ชั่วโมง มีเป็นพิเศษ ๖-๗ ชั่วโมง ๘ ชั่วโมงมี แต่เป็นกรณีพิเศษมานับเข้าในกฎเกณฑ์ไม่ได้ และทุกอย่างต้องได้สังเกตตัวเองตลอดเวลา เราทำอย่างนี้เป็นยังไงผลดู แล้วไม่นอน คืนหนึ่งไม่นอนเป็นยังไง การภาวนาของตัวเองสติปัญญาจิตใจผ่องใส สติปัญญาแพรวพราวอย่างไรหรือไม่ สังเกตดู ถ้าได้ผลในทางการอดนอนนี้ท่านก็มักจะอดนอน อดเท่าไรก็ยิ่งเบาหวิว ๆ ยิ่งสว่างไสวภายในใจจากธรรมที่บำเพ็ญด้วยการอดนอน ท่านก็ยึดอันนั้นไว้ เดินมาก นั่งมากเป็นยังไง ทั้ง ๆ ที่ตั้งสติอยู่ด้วยกัน ให้สังเกตเอง นี่เรียกว่าการสังเกตในการภาวนา
แต่สำหรับเราเองมันไปถูกกับอดอาหารอย่างว่านั่นแหละ แล้วส่วนมากพระเณรในวัดนี้มักจะถูกแบบเดียวกันนะ พระจึงไม่ค่อยมาฉันจังหัน ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ถือว่าเป็นคำสั่งเป็นคำสอนอะไรเลย เราถือว่าเป็นคำบอกเล่า คำว่าบอกเล่าเป็นยังไง ใครปฏิบัติยังไงจริตนิสัยยังไงก็ให้ทำ ที่เราในฐานะที่เป็นอาจารย์เราก็บอกเล่าธรรมดาในสิ่งที่ควรบอกเล่า เช่น ผ่อนอาหารอดอาหารอย่างนี้ เรามันหนักในทางนี้ก็มาเป็นคำบอกเล่าให้หมู่เพื่อนฟังว่าได้ผลดีอย่างนั้น ๆ สำหรับเรา แล้วหมู่เพื่อนฟังแล้วก็เอาไปปฏิบัติต่อตัวเอง แล้วส่วนมากรู้สึกจะถูกในนิสัยอย่างเดียวกันกับเรานี้ อยู่ในวัดนี้ไม่เคยมีพระมาฉันจังหันครบองค์เลยนะเป็นประจำ มีมากอยู่ข้างในท่านไม่ฉัน
เราก็เปิดโอกาสให้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ องค์ไหนที่ไม่ฉันจังหันไม่ให้มายุ่งกับงานเกี่ยวกับส่วนรวม ให้ทำตามอัธยาศัยของตนเอง เพราะเราเคยทำมาอย่างนั้น ถ้าลงได้อดอาหารอะไรอย่ามายุ่งนะ เท่านั้นพอ ถ้าอยู่กับหมู่กับเพื่อนก็ต้องได้ฉันเป็นธรรมดา แต่ก็ฉันในฐานะที่อยู่กับหมู่กับเพื่อนไม่ปล่อยตัวเสียทีเดียว ฉันไม่ให้อิ่ม ๖๐-๗๐-๕๐ เปอร์เซ็นต์ ๖๐-๗๐ เปอร์เซ็นต์อยู่ในย่านนี้ทุกวัน ส่วนมากมักอยู่ใน ๕๐-๖๐ เปอร์เซ็นต์นี้ นี่พอเหมาะพอดีกับดูแลเพื่อนฝูงเกี่ยวข้องกับงานการอะไรในวัดในวาที่อยู่กับครูบาอาจารย์ซึ่งมีพระเณรมาก เราต้องได้ดูแลอยู่เสมอ ทีนี้การอดอาหารเพื่อขึ้นเวทีโดยตรง อันนี้ไม่ได้ขึ้นโดยตรง เลียบ ๆ เลาะ ๆ อยู่ตามเวที เพราะฉะนั้นจึงได้อดไว้พอเป็นประโยชน์ในการบำเพ็ญของเราให้สะดวก ๆ เราจึงไม่ฉันให้อิ่มนะ
อันนี้หมู่เพื่อนก็มีอย่างนั้น เห็นไหมนี่มาฉันจังหันยิบ ๆ แย็บ ๆ เห็นไหมล่ะ บางองค์หมู่เพื่อนฉันจนจะหมดแล้วถึงด้อม ๆ มานั่งปั๊บ มานั่งฉันไม่กี่คำหยุดแล้วไปแล้ว นั่นไม่ใช่ท่านอิ่มนะ ท่านฉันพอประทังชีวิตไว้เพื่อความเพียรที่เป็นจุดมุ่งหมายอย่างยิ่งต่างหาก ท่านมุ่งอย่างนั้น เราดูพระเณรก็รู้นี่พระท่านที่ฉัน ๆ ไปเล็ก ๆ น้อย ๆ เดี๋ยวท่านไปแล้ว ๆ เพื่อประโยชน์ของท่านอันใหญ่หลวงได้แก่ธรรมในใจ อันนี้พอประทังวันหนึ่ง ๆ ถ้าไม่ฉันก็ไม่ได้อีกแหละ เพราะพระเณรในวัดนี้มีจำนวนมาก พระองค์ไหนไม่ฉันไม่มา ๆ ทีนี้ข้อวัตรปฏิบัติเกี่ยวโยงกันนี้ก็ไม่มีใครทำ พระจึงต้องมีฉันบ้างมาบ้าง ทยอย เหมือนกับว่าเปลี่ยน เหมือนเป็นวาระกันอยู่ลึก ๆ หรืออาจนัดกันก็ได้ ท่านจึงไม่ค่อยมาฉันจังหันทุกวันครบองค์ มีอย่างนี้แหละ นี่ท่านปฏิบัติมา การฉันก็ฉันแต่น้อย ๆ พอให้พอดี ๆ ไปวันหนึ่งที่เกี่ยวกับงานเกี่ยวโยงกัน เราไม่มีอะไรเลยก็เรียกว่าขึ้นเวทีเลย
สำหรับเราเองอยู่กับหมู่กับเพื่อนเราไม่เคยอดนะ ไม่อดก็บอกไม่อด หากฉันอย่างว่าแหละ ๕๐% ๖๐% หรือ ๗๐% แล้วแต่การสังเกตเราเองในธาตุขันธ์ของเรากับธรรมที่ประกอบกันอยู่ อาหารเป็นเครื่องหนุน มันจะหนุนไปทางไหนบ้างก็คอยดู ธรรมได้รับการหนุนจากทางอาหารนี้รับยังไงบ้าง ถ้าอาหารมีน้อยธรรมดีขึ้นมันก็มักจะดีดขึ้นทางธรรมเรื่อย ๆ ต้องคิดอย่างนั้นเรียกว่าการปฏิบัติตัวเอง การแก้กิเลสนี้ต้องพวกนักขึ้นเวที ขึ้นเวทีคือนักภาวนาจริง ๆ เพื่อมรรคเพื่อผล เพื่อศีล เพื่อสมาธิ เพื่อปัญญาวิชชาวิมุตติหลุดพ้นจริง ๆ ตามทางของศาสดา จะเป็นผู้จัดเจนในเวทีมากทีเดียว
การเรียนในตำรับตำราไม่ได้ว่าท่านว่าเรามันพอ ๆ กันนั่นแหละ ได้แต่ชื่อแต่เสียงได้แต่ความจดความจำมาก็อ่านไปนู้นอ่านไปนี้ ว่าบาปว่าบุญ ก็ฟังตั้งแต่หูเท่านั้นหรือดูแต่ตาใจไม่ถึง ใจไม่ค่อยเคารพเชื่อฟังคำสอนที่ท่านสอนด้วยความถูกต้องแม่นยำ นี่คือความจำ มันจำไปลอย ๆ ไปอย่างนั้นนะ จะเอาจริงเอาจังกับอะไรไม่ได้ แต่เวลาออกปฏิบัติ พอเรียนเข็มทิศทางเดินจากตำรับตำราได้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก้าวออกเดิน ผู้นี้ละเป็นผู้เข้าสู่สงครามหรือว่ามวยก็เรียกว่าขึ้นเวทีแล้ว ถ้าสงครามก็เรียกว่าออกสนามแล้ว ผู้นี้จัดเจนมากนะ
ทหารที่เขาเรียนวิชาการรบมาด้วยกันก็ตาม คนหนึ่งไม่ได้ออกแนวรบ เรียนมาด้วยกันเต็มภูมิ แต่คนหนึ่งออกแนวรบ คนนี้จะพูดได้พิสดารกว้างขวางลึกซึ้งตามหลักความจริงในสนามรบได้มากยิ่งกว่าผู้ที่เรียนแต่ไม่ได้ออกสนามรบเป็นไหน ๆ นี่ละเทียบกันอย่างนี้ ทีนี้เราเรียนทางด้านปริยัติก็เหมือนกับเราเรียนในหลักวิชาการรบ แต่เราไม่ได้ออกปฏิบัติตามทางศาสดาที่สอนไว้ เรียกว่าไม่ออกแนวรบ รบกับกิเลสรบวิธีไหน ทำวิธีใดการรบกับกิเลส เราไม่ได้ออกปฏิบัติเราก็ไม่รู้ พอเราขึ้นเวทีเรียกว่าออกปฏิบัติแล้ว ทีนี้กิเลสกับธรรมก็อยู่ในหัวใจดวงเดียวกันมันจะไปไหน มันโผล่ขึ้นมาอันไหน ส่วนมากเป็นเรื่องกิเลสเสียก่อน เมื่อเรายังไม่มีกำลังกิเลสจะออกหน้าตลอดเวลา ธรรมก็คอยติดคอยตามคอยฟัดคอยเหวี่ยงกันไป หลายครั้งหลายหนก็พอรู้แง่รู้ทาง นี่เรียกว่าขึ้นเวที
-
ที นี้แง่ของกิเลสมีความหนักเบามากน้อยหลายสันพันคมขนาดไหน ธรรมก็ฟิตตัวอยู่ตลอดเวลามันก็ทันกัน ๆ มันก็มีหลายเล่ห์หลายเหลี่ยมร้อยสันพันคมเช่นเดียวกันกับกิเลส สุดท้ายก็เหนือกิเลส ทีนี้ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปได้ดังพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านเห็นไหมล่ะ นั่นละออกมาจากเวทีนะนั่น ไม่ได้ออกมาจากเรียนจดได้จำได้แล้วก็มาเป็นมรรคผลนิพพานไม่เคยมี ผู้เรียนมาไม่สนใจปฏิบัติ เรียนมาจบพระไตรปิฎกกิเลสตัวเดียวไม่ได้ขาดจากหัวใจเลย ดีไม่ดีส่งเสริมเพิ่มกิเลสขึ้นอีก ถือทิฐิมานะว่าตนเรียนรู้เรียนมากนักปราชญ์ชาติกวีไปแล้ว เพียงจำมาเท่านั้นแหละ แล้วยิ่งเขาไปยกยออีกด้วยว่า คนนี้หรือว่าท่านองค์นี้ นี่ตู้พระไตรปิฎกเคลื่อนที่ เลยเป็นบ้าไปเลย นี่กิเลสขึ้นใหญ่ จะทำคนให้เป็นบ้า
แล้วกิเลสตัวไหนมันหลุด ลอยออกไปจากการศึกษาเล่าเรียนมาโดยไม่สนใจปฏิบัติไม่มี ถ้ามีพระพุทธเจ้าจะไม่สอนปฏิบัติปฏิเวธออกมาท่านจะสอนแต่ปริยัติสมบูรณ์แบบ แล้วไปเลย พอจบเล่มนี้ขึ้นโสดา จบเล่มนี้ขึ้นสกิทาคา จบเล่มนี้ขึ้นอนาคา จบเล่มนั้นขึ้นอรหันต์ไปเลย ไม่ต้องมาปฏิบัติให้ลำบากลำบนแหละ เรียนจบนี้แล้วกิเลสขาดสะบั้นไปเลย ไม่เห็นมีในคัมภีร์ใดวะ คัมภีร์ไหนก็มีแต่บอกว่าให้เรียนให้จดจำให้ดีนะ นี่แผนที่ของศาสนาแผนที่ของธรรม แสดงทั้งเรื่องนรกอเวจีเปรตผีประเภทต่าง ๆ ถึงมรรคผลนิพพาน บอกไว้หมดในแผนที่ที่ทรงรู้ทรงเห็น นำมาแจงให้สัตวโลกฟัง ให้ปฏิบัติตามนี้แล้วจะรู้จะเห็นตามนั้น ด้วยอำนาจแห่งวิสัยของตนจะรู้มากน้อยเพียงไรจะรู้ไปตามนั้น ๆ
ทีนี้ออกปฏิบัติมันก็รู้ อย่างนั้นซี รู้อย่างนั้น ๆ เต็มภูมิวาสนาของตัวเอง ๆ ไม่ได้มีคัดค้านพระพุทธเจ้าได้ว่า พระพุทธเจ้ารู้อย่างนี้นะ พระพุทธเจ้ายังสู้ข้าพระองค์ไม่ได้ข้าพระองค์ยังรู้มากกว่านี้ ไม่มี มีแต่กุดด้วน ถ้าท่านบอกให้เพิ่มความเพียรเข้ามันก็เพิ่มหมอนเข้าเสีย อย่างนั้นซีมันกลับกัน แทนที่จะเพิ่มความเพียรมันกลับเพิ่มหมอน หมอนที่ใช้มา ๓ ลูกวันนี้เอา ๕ ลูกพอไหม ดีที่ไม่มาถามหลวงตาบัว ถ้าถามหลวงตาบัวแล้ว โอ๋ย ป่าเลิกไปเลยว่างั้นเถอะน่ะ นี่ภาคปฏิบัติท่านเป็นอย่างนั้น เรียนเพื่อจดจำเอาแล้วนำออกมาปฏิบัติ กางเหมือนกับแปลนบ้านของเรา อยู่เต็มห้องมันก็เป็นแปลนไม่ได้เป็นบ้านเป็นเรือน ดึงออกมาเราจะเอาขนาดไหนตามกำลังของเรา ดึงแปลนไหนออกมาแปลนนี้บ่งบอกไว้ยังไงสร้างตามแปลน ๆ สำเร็จรูปขึ้นมาเป็นบ้านเป็นเรือน หลังเล็กหลังใหญ่อยู่ในแปลนนั้นหมด
อันนี้มรรคผลนิพพานอยู่ ในแปลนแห่งพระพุทธศาสนาทั้งหมด ในพระไตรปิฎกนั้นแหละ ท่านเรียกว่าตลาดแห่งมรรคผลนิพพานอยู่ที่นั่นหมด แล้วแยกออกมาปฏิบัติ ทีนี้ก็แจงออกมา ศีลก็มีสมบูรณ์ในเราตามที่ท่านชี้บอกแล้วให้รักษาศีลให้สมบูรณ์ สมาธิอบรมให้จิตใจมีความสงบมันก็สงบไปเรื่อย ๆ มันก็รู้ด้วยตัวเอง ๆ จากนั้นถึงขั้นปัญญาวิมุตติหลุดพ้นออกจากแปลนนี้เป็นภาคปฏิบัติ ๆ สร้างตัวขึ้นมาเป็นศีลสมาธิปัญญาวิชชาวิมุตติก็เป็นปฏิเวธขึ้นมาเป็นขั้น ๆ ปฏิเวธแปลว่าความรู้ เราทำได้ขั้นนี้จิตสมาธินี้ก็เป็นปฏิเวธ รู้ในสมาธิความสงบใจของเรา สงบมากน้อยเพียงไรก็เป็นปฏิเวธ ๆ รู้รอบไปตลอดจนถึงวิชชาวิมุตติหลุดพ้น รู้ผึงเต็มเหนี่ยวเลย
นี่ศาสนาจึงสมบูรณ์แบบ ต้องมีสาม ๑)ปริยัติ ภาคศึกษาเล่าเรียนเป็นแบบแปลนแผนผัง ๒) ภาคปฏิบัตินำปริยัติออกมาปฏิบัติดัดกายวาจาใจของตนให้เป็นของดีไปโดยลำดับตามที่เรียนมาแล้วนั้น ๓) ปฏิเวธ คือผลที่ติดแนบไปว่าระยะนี้สร้างได้เท่าไร ๆ เหมือนเขาสร้างบ้านเวลานี้วางรากวางฐานไว้แล้วก็รู้ วางนี้ขึ้นขื่อขึ้นแปรู้ ๆ จนกระทั่งสำเร็จก็รู้ นี่เป็นปฏิเวธ คือรู้ผลงานของตัวเองว่าทำมาถึงไหนแล้ว อันนี้ก็รู้ผลงานของตัวเองว่าบำเพ็ญไปถึงไหนแล้ว ทั้งสามคือปริยัติเราก็เรียนมา ปฏิบัติเราก็ได้ดำเนินงาน ปฏิเวธผลงานจะติดตามไปเรื่อย จนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติหลุดพ้นเป็นปฏิเวธโดยสมบูรณ์ รวมแล้วก็เป็นศาสนาที่สมบูรณ์แบบ ศาสนาไม่ขาดบาทขาดตาเต็ง คือศาสนาพร้อมด้วยปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
ถ้ามีแต่ปริยัติเฉย ๆ ขาดบาทขาดตาเต็งมากทีเดียว มีแต่ความจำเป็นนกขุนทอง สุดท้ายก็ว่าเป็นหนอนแทะกระดาษไปได้เลย เพราะไม่สนใจปฏิบัติก็เป็นหนอนแทะกระดาษ ใครเรียนไม่สนใจปฏิบัติผู้นั้นก็เป็นหนอนแทะกระดาษอยู่เฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้พากันจำเอานะ ศึกษาเล่าเรียนจากครูบาอาจารย์แล้วให้ไปปฏิบัติตัวเอง อย่าไปเป็นหนอนแทะกระดาษอยู่ตามนั้น มันไม่ได้หาแทะกระดาษนะ มันไปหาแทะหมอนแทะเสื่อไปอย่างนั้นแหละพวกนี้น่ะ เอาละพอวันนี้
-
ขออนุโมทนา
สาธุ สาธุ สาธุ -
กราบขอบพระคุณมากครับ
กราบขออนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ -
สาธุ สาธุ สาธุ............
-
สาธุค่ะ
-
ขออนุโมทนา สาธุ ครับผม
-
อนุโมทนา สาธุ ครับ
-
อนุโมทนาสาธุครับสำหรับธรรมมะ สาระดีๆครับ
-
ขออนุโมทนา
-
สาธุครับ
-
สาธุ
-
อนุโมทนาสาธุด้วยครับ
-
อนุโมทนาสาธุครับ<!-- google_ad_section_end -->
-
ขออนุโมทนา สาธุ
-
Anumotana kha
Bunhom -
สาธุอนุโมทนาครับ
-
สาธุครับ
-
โมทนาสาธุ สาธุ สาธุ