ใครต้องการถามเป็นการส่วนตัว ไปถามที่อื่น กลัวคนอื่นว่าให้มาที่นี่
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nilakarn, 20 เมษายน 2013.
หน้า 16 ของ 23
-
ใครที่เคยฟังท่านสอน จะต้องตามฟัง
การสอนเกิดดับ ของท่านให้ดีๆ
ฟังเรื่องที่ท่านสอน เกิด และ ดับ
แค่นี้ จะบรรลุธรรมได้ง่ายๆ
-
มีอยู่ช่วงหนึ่ง ท่านกล่าวว่า มีญานอยู่ชนิดหนึ่ง
ที่พระพุทธเจ้ายอมรับ ก็คือ นิพพานัญจายตนะ
หรือ การน้อมนึกถึงพระนิพพาน แบบเดียวกับที่
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ สอนไว้
ซึ่ง อยู่นอกเหนือจาก ญานทั้ง เก้าระดับนั้น
แต่มีอยู่จริง ทำได้จริง ถึงพระนิพพานได้จริง
แต่ก็ต้องฝึกหนักหน่อย
-
ธรรมที่มีในตน นั้นเป็น สัมปยุตตธรรม
คนที่ชอบแสดงธรรมที่ไม่มีในตนให้ดูเสมือนว่าตนมีโดยมีตนที่ยังไม่เป็นสามัคคีกับธรรมนั้นๆ
กับคนที่ชอบแบ่งแยก พระพุทธเจ้า กับ พระสงฆ์ นี้ช่างเข้ากันได้ดีจริงๆ
ไม่แปลกใจเลยทำไมท่านนิลกาฬถึงชอบลุงคึกเพราะสมน้ำสมเนื้อกันดีนะครับ อิอิ -
การแสดงความเห็นทางธรรมมีสิ่งที่ควรระวังอย่างยิ่ง คือแสดงความเห็นเกินเลยไปจากที่รู้จริง กับการสำคัญตนว่าสิ่งที่รู้นั้นจริง การแสดงความเห็นและตอบปัญหาทางธรรมจึงควรเป็นผู้รู้จริง ไม่เช่นนั้นผู้ที่เพิ่งเริ่มศึกษาได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อนก็เป็นโทษด้วยกันทุกฝ่าย
-
เราหนักกว่ามากเพราะทำให้คนอื่นเดือดร้อน เท่ากับไปเบียดเบียนคนอื่น มันเป็นกรรมหนัก คนที่ชอบสอนอาจเพราะเชื่อมั่นแต่ความเชื่อมั่นก็ไม่ได้หมายความว่าถูกต้องเสมอไป ต้องใช้เวลาพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะเรื่องจริงคือมีหลายอย่างที่ยังไม่รู้ ถ้ารู้ทั้งหมดจริงหรือแค่คิดว่าเอามาเปรียบเทียบ มันก็ผิดแล้ว แค่คิดก็ผิดแล้ว ไม่ว่าจะมีอะไรที่คิดว่าเหนือกว่า ก็ไม่ใช่สิ่งที่ใช้เปรียบเทียบ จริงหรือไม่จริงคงมีแต่เราที่รับรู้ หากแน่ใจว่าจริง คงเห็นความจริงจะไม่สับสนต่อสภาวะหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ต้องเจอ เพราะย่อมรู้ว่าควรวางตัวอย่างไร. อันนี้คงเรียกมรรคได้
-
ถ้ารู้มรรครู้ทางจริง จะไม่ทิ้งความเป็นจริง จะต้องรู้จักเฉลียวใจเป็น (รู้จักสังเกตโลกแห่งความเป็นจริงควบคู่ไปด้วย) รู้จักแยกแยะออกทั้งภายนอกภายใน ไม่ใช่ทิ้งภายนอกเอาแต่ภายใน หรือทิ้งภายในเอาแต่ภายนอก นั่นคือการมีสติอยู่กับความเป็นจริง จะได้ไม่หลุดสุดโต่งไปง่ายๆ จะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่สุดท้ายคือไม่ยึด ตัวหลังนี่สำคัญมาก พระธรรมท่านว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ก็อยู่ที่ใครจะเข้าใจเข้าถึงพระธรรมบทนี้ได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง
-
คนที่เราเตือน เค้าเคยเป็น ญาติ กับเรามาก่อนในอดีตชาติ
พอมาถึงชาตินี้ เราจึงรู้ถึงจริตของพวกเค้า โดยแยบคาย
เราก็เตือนออกไปด้วยเมตตา
แต่คนอื่นจะเมตตา ตัวเค้าเองหรือไม่
มันก็แล้วแต่ วาสนา ของแต่ละบุคคล
แต่ส่วนมาก จะโดนด่ากลับเสียส่วนใหญ่
คนที่จะยอมรับความจริง ได้นั้น มีน้อยมาก
เรียกว่า หนึ่งในล้าน จริงๆ ที่รอดตัวไปได้ -
ผู้ฟังที่ดี จะต้องแยกแยะได้ว่า ไหนดีไหนเลว
ใครยังแยกแยะไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้เค้าศึกษาต่อไป
ยังไม่สามารถให้เค้า ฝึกปฏิบัติใจ ได้
ผู้สอนที่ดี ก็ต้องปล่อยวางลูกศิษย์ไว้ก่อน
เมื่อถึงเวลาอันสมควรดีแล้ว
เดี๋ยวเค้าก็จะกลับมาหาเราเอง -
เอาตัวเองให้สร่างเมาจากความคิดตัวเองก่อนนั้นหละ อิอิ
ลักษณะ ธรรมลามกจะมีสภาพคือการปกปิด เมื่อมีธรรมลามกอยู่มาก
ย่อมไม่สามารถจะรับฟังคำตักเตือนจากภายนอกได้ เสมือน ภาชนะที่คว่ำอยู่
เมื่อรับคำตักเตือนที่เป็นคุณไม่ได้ ย่อมมองได้แต่เพียงในภาชนะที่คว่ำอยู่
จากสิ่งที่เป็นคุณย่อมไม่ได้รับคุณ สิ่งที่มีอยู่ในภาชนะก็สำคัญตนผิดว่าเป็นเมตตา
โดยรวมก็คือ ปริยัติงูพิษนั้นหละ
โดยธรรมชาติของธรรมลามก/ปริยัติงูพิษ นั้นก็มีมาตฐานเดียวกันนี้หละ
ภายนอกนั้นเข้าใจผิดส่วนเรานั้นเข้าใจถูก
ภายนอกนั้นมาร้ายมาชกมากัดส่วนเรานั้นเป็นคนดี
เมื่อถึงคราวจะปล่อยวาง ก็ปล่อยวางไปแบบผิดๆ
คือภายนอกนั้นจะมาร้ายยังไงกับเราก็ช่างเขาเถอะ
เพราะธรรมลามกมันปกปิดอยู่ไง จึงมองไม่เห็น กิเลส ตัณหา ของตัวเอง
เมื่อมองไม่เห็นแม้กระทั่ง กิเลส ตัณหา ของตัวเอง จะเอาอะไรไปชำระอกุศลได้หละ
ถ้าบ้าบอคอแตก เพิ่มขึ้นไปอีกระดับขึ้นไปอีก ก็จะเข้าใจตัวเองผิดๆ และ สำคัญตัวผิด
ว่าคงจะเริ่มพอๆกับพระอริยะแล้วหละมั้ง เพราะมองไม่เห็น กิเลส ตัณหา ตัวเองไง
-
ละอัตตาในตน ก่อนดีไหมครับ -
-
ความจริงปัจจุบันน่าพูดกว่าอดีตหรืออนาคต ต่อให้รู้จริง สติสตังไปไหนหมด อดีตที่มโนไม่เอา อนาคตที่มโนก็ไม่เอา มันแปดเปื้อนเวลาพูดสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้สอนแค่ชี้ให้เห็นว่า ทำไปทำมามันจะมีแรงดึงให้เจอถ้าพูดอะไรที่จริงแต่ไม่ใช่คนอื่นจะรู้ได้ ยิ่งไปเอาคำคนอื่นมายิ่งต้องคิดพิจารณา ไม่ได้แก้ไขคำแต่แก้ไขเราให้รู้ตามและเข้าใจจึงนำมาใช้ต่อ อย่างไม่มีข้อกังขา มันไม่มีหรอกแต่เรารู้คนเดียวคนอื่นไม่รู้ เว้นไว้แค่พระศาสดา
-
-
-
แล้วจะฝึกไปทำไม กรรมฐานตั้ง40 กองหลักคืออาณาปาณสติ ฝึกเพื่อ ถ้าแค่ฟังแต่อ่านแล้วเข้าใจก็จบ โง่บัดสบ ลบหลู่ครูบาอาจารย์ ตลอดจนพระศาสดา ไปบอกเขาด้วยนะ
-
แล้วไม่ต้องลามไปที่ขีณาสพวิปัสสโกด้วย มันคนละเรื่อง ต่อให้เป็นแบบนั้นก็อาศัยสติสร้างมูลฐานให้รู้จึงพิจารณาเห็นและไม่จำเป็นต้องมีฤทธิ์เพราะฤทธิ์ก็ไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์และบ่วงกรรม เลิกโง่ได้แล้ว
หน้า 16 ของ 23